บทที่ 13 ปรากฏ
บทที่ 13 ปรากฏ ½
ชายหนุ่มค่อยๆลดมือลงอย่างช้า ๆ หน้ากากสีดำรูปกะโหลกมนุษย์ค่อยๆถูกปลดออกจากใบหน้าที่มีแต่รอยแผลที่ถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ
“นี่คือใบหน้าของฉันในตอนนี้ พวกนายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่แต่ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ หลักฐานอย่างแรกก็คือเวทมิติ หลักฐานอย่างที่สองก็คือ”
เมฆายกมือไปปลดอาภรณ์ของตนเองอย่างช้า ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแต่ข้างในนั้นกลับมีรอยแผลมากมาย แผลใบดาบที่อยู่ตรงหน้าท้องของชายหนุ่มทำให้ทุกคนที่อยู่ณที่นั้น ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
“นี่มันได้รับมาจากการต่อสู้ของสงครามครั้งสุดท้ายอย่างนั้นหรอ”
เมฆาพยักหน้ารับ “ถูกต้องแล้ว ความจริงการต่อสู้ครั้งนั้นยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ตอนนั้นที่ฉันโดนตาแก่ฟันจนร่างกายเกือบแหลกเหลวเป็นชิ้นชิ้น จู่ๆฉันก็สามารถหนีรอดมาได้ แต่ว่าสิ่งที่ฉันต้องแลกเปลี่ยนก็คือพลังเวทย์ทั้งหมด เหมือนกับเอฟเวอร์ตันแหละ ถ้าคิดให้ดีๆแล้วมันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันโดนผนึกพลังไปก็ได้ ดูเหมือนว่าอาจารย์ของฉันก็ยังอยากให้ลูกศิษย์ของตัวเองยังมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“มันเป็นไปไม่ได้” หญิงผมแดงกล่าวซ้ำๆย้ำกับความคิดของตนเอง
“เมื่อตัดความเป็นไปไม่ได้ออกไปสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความเป็นไปได้ เหมือนที่พวกเราคิดจะชุบชีวิตมนุษย์และคิดจะสร้างความเป็นนิจนิรันดร์ให้กับโลกใบนี้อย่างไรล่ะ เมื่อยังคิดเรื่องนี้อยู่สิ่งที่เป็นไปได้ก็คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นไปได้ เมื่อรู้อย่างนี้พวกนายจะพาไปพบองค์กรของพวกเราได้หรือยัง พวกนายคงจะรู้ดีตอนนี้ฉันได้ยกระดับพวกนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ยกระดับอย่างนั้นหรอมันหมายความว่ายังไงกันแน่” หญิงผมแดงถาม
“คำพูดน่ะ ถ้าเปลี่ยนจากคำว่าแกเป็นคำว่าเราแสดงว่าหมอนี่เริ่มไว้ใจพวกเรามากขึ้น” แพทย์เทวะกล่าวชี้แจง
กลิ่นอายของพลังเวทย์กับท่าทางและสายตาที่ส่งมา สายตาที่ไม่ยี่หระต่อโลกและต่อผู้คนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่านี่คงจะเป็นเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน ในใจของเขาเชื่อไปแล้ว แพทย์เทวะเชื่อไปแล้วว่านี่คือเพื่อนของตนเองทำให้การระมัดระวังตัวของเขาลดลง
“ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านายยังจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีก ทั้งทั้งที่อาสึนะก็ตายไปแล้ว แต่ว่า”
เมฆาโบกมือเป็นเชิงห้าม “การปลุกเธอให้ตื่นจากห้วงนิทราแห่งความตาย นำดวงวิญญาณของเธอมาจากมัจจุราชมันเป็นหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่สิมันสำคัญมากกว่าหน้าที่ซะอีก ต่อให้ฉันต้องเสียสละใครไปก็ตามฉันก็ต้องทำให้เธอคืนชีพกลับมาให้ได้ ดังนั้นก่อนที่เป้าหมายของฉันจะสำเร็จฉันจะตายไปได้ยังไง”
“สมแล้วที่เป็นนาย ถ้าอย่างนั้นแสดงว่านายก็ได้วางแผนไว้แล้วสินะว่าจะทำยังไงให้พวกเราสามารถคืนชีพคนที่เป็นที่รักได้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ”มันแน่นอนอยู่แล้ว การที่ฉันมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกนายก็ยืนยันได้ว่าฉันมีแผนการเป็นอย่างดีที่จะทำการปลุกชีพคนตาย ขนาดตัวฉันยังรอดจากความตายมาได้นับประสาอะไร ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เก่งเวทย์รักษาเหมือนนายกับเอ็ดเวิร์ด แต่ทฤษฎีนั้นฉันก็พอรับรู้อยู่บ้าง ถ้าพวกเราสามารถสร้างศิลาแห่งชีวิตพวกเราก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะสามารถทำให้เซลล์ในร่างกายของมนุษย์ไม่สูญหาย เมื่อเซลล์ในร่างกายไม่ตายมนุษย์ก็จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้น คนที่ตายไปแล้วล่ะอย่างเช่นอาสึนะ”
ชายหนุ่มนำหน้ากากไปสวมไว้ที่ใบหน้า ก่อนที่จะกล่าว
“”เรื่องที่ฉันพูดมันเป็นการสันนิษฐานที่ฉันเคยทำบ้างแล้วแต่ว่ายังไงมันก็เป็นเรื่องที่ไม่สมบูรณ์ พวกนายคงคิดว่าศพของอาสึนะถูกพวกอาจารย์เผาไปแล้ว แต่มันไม่ใช่สุขของเธอก็ถูกแช่แข็งไว้ในโรงน้ำแข็งพันปีเหมือนกับแฟนของนายนั่นแหละ ดังนั้นการคืนชีวิตให้กับเธอมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความจำเป็นนัก ว่าแต่องค์กรของพวกเราพัฒนาไปถึงขนาดไหนแล้ว” ครั้งนี้ชายหนุ่มหันไปหาหญิงสาวผมแดง
“องค์กรของพวกเราเพิ่งเริ่มฟื้นตัวได้ไม่นาน เพราะมีท่านผู้นั้นเป็นคนให้ความช่วยเหลือ”
“ท่านผู้นำของพวกเธอได้ปรากฏตัวให้เห็นหรือยัง ท่านผู้นำของพวกเธอเป็นใครกันแน่หรือว่าจะเป็นยายนั่น”
“นี่ท่านรู้อย่างนั้นหรอว่าหัวหน้าของพวกเราเป็นใคร’ หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทางประหลาดใจ เธอมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง
สำหรับเธอหนุ่มที่มีนามว่าเมฆาต้องมีอายุอานามมากพอสมควร แต่จากที่เธอสังเกตทั้งผิวพรรณและร่างกายรวมทั้งอริยาบททำให้พบว่าชายตรงหน้าน่าจะมีอายุแค่ 25 26 ดังนั้นหญิงสาวจึงห์ไม่วางใจเพราะสิ่งที่ชายตรงหน้ากล่าวมันอาจจะเป็นเรื่องหลอกลวงก็เป็นได้
“เธอคงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงมีอายุและหน้าตาที่ไม่แก่ขึ้นเลย แล้วอีกอย่างทำไมฉันถึงรู้จักหัวหน้าของเธอได้ เรื่องที่เธอสงสัยเป็นเรื่องที่ 3 ก็คือทำไมฉันถึงพูดคำว่ายายนั่น ก็เพราะผู้นำกลุ่มของพวกเธอนะ”
ชายหนุ่มยิ้มแต่กลับไม่กล่าวอะไรต่อ
“เรื่องทั้งหมดจะได้รับความกระจ่างต่อเมื่อพวกเธอพาฉันไปยังองค์กรของพวกเธอ เมื่อฉันไปทุกอย่างจะกระจ่าง”
หญิงสาวผมแดงใส่หัวปฏิเสธ “พวกเราคงพาท่านไม่สิคนที่อ้างตัวว่าเป็นท่านเมฆาไปยังองค์กรของพวกเราง่ายๆไม่ได้จนกว่าจะได้รับรู้ความเป็นจริงว่าแกเป็นท่านเมฆาหรือเปล่า”
เมฆายิ้มกับคำกล่าวของหญิงสาว “อบรมลูกน้องมาดีไม่เลวเลย แต่ว่าเธอคงเข้าใจอะไรผิดอีกอย่างหนึ่ง นี่มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่มันคือคำสั่ง เข้าใจความหมายนี้หรือเปล่าฉันสั่งให้เธอพาไปไม่ได้ขอร้องให้เธอพาไป องค์กรนี้ฉันอยากจะทำลายเมื่อไหร่ฉันก็สามารถทำลายมันได้ แต่ที่ฉันไม่ทำก็เพราะว่าหวังว่าองค์กรของเธอจะเป็นมือและเท้าให้กับฉัน ถ้าเธอไม่พาฉันไปฉันก็จะทำลายมัน”
ชายหนุ่มยกปืนขึ้นก่อนที่จะเหนียวไก ผสมสีดำเสียบหน้าหญิงสาวผมแดง เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หญิงผมแดงตกตะลึง อาวุธชนิดนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับความนิยมในโลกใบนี้ แต่ตำนานก็มีเพียงชายผู้เดียวที่สามารถใช้มันได้อย่างถ่องแท้ เขารู้จักอาวุธชนิดนี้เป็นอย่างดี
“องค์กรของพวกเธอตั้งอยู่ที่เกาะที่เคยเป็นอดีตฐานทัพของพวกเรา ฐานทัพนั้นมีตำนานอยู่ว่า”
“ในอดีตเคยมีเทพองค์นึงจุติมายังโลก ชายหนุ่มมีสตรีสามนางคอยคุ้มครอง นัยน์ตาสีฟ้าดูจน้ำทะเลแสดงถึงความอ่อนโยน เมื่อกวาดมองไปยังสิ่งมีชีวิตล้วนต้องศิโรราบ หากผู้ใดขัดขืนก็จะต้องถูกสังหารอย่างโหดร้าย แต่หากสิ่งมีชีวิตคู่ใดยอมปฏิบัติตามก็จะมีชีวิตอย่างเป็นสุข ก่อนโลกที่จะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ใบนี้จะถือกำเนิด เดิมทีมันเป็นโลกที่ป่าเถื่อน”
“นิทานปรัมปรา แล้วนายจะยกเรื่องนี้มาพูดทำไม”
ชายหนุ่มโบกมือเป็นเชิงห้าม
“นิทานหรือตำนานก็เกิดขึ้นจากเรื่องจริงนั่นแหละ ใช่หรือเปล่า” เขาหันไปมองอย่างเพื่อนของตนเอง เมื่อแพทย์เทวะพยักหน้ารับชายหนุ่มจึงกล่าวต่อ
“ชายหนุ่มผู้นั้นกับสตรีอีก 3 นางได้มาวางกฎเกณฑ์ให้กับโลกใบนี้ แต่ระบบที่เขาวางไว้กับมีช่องโหว่ เขาวังการคานอำนาจกันของ 3 อณาจักร อาณาจักรวิทาเรีย อาณาจักรบาบิโลเนียและอาณาจักรแพนเจีย ทั้ง 3 ล้วนคานอำนาจกัน แต่ไม่นานทั้ง 3 อาณาจักรก็เริ่มรบราฆ่าฟันกัน สงครามเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้เทพพรุ่งนี้ต้องคิดวิธีแก้ปัญหานั่นก็คือ”
“การใช้เวทย์มิติและเวทย้อนเวลา” แพทย์เทวะกล่าวเสริม
“ถูกต้องแล้ว ดังนั้นทั้งสองศาสตร์นี้จึงเป็นที่ต้องห้ามของนักเวทย์ยุคปัจจุบัน แต่รู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงสามารถใช้เวทย์ปลดหนี้ได้ ก็เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่ยุคเดียวกับพวกนายมาตั้งแต่แรก ทำให้วิทยาการเกี่ยวกับเวทมนต์บทนี้ฉันสามารถเรียนรู้ได้และมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ ดังนั้นฉันจึงสามารถใช้เวทบทนี้ได้”
สิ้นคำกล่าวของบุรุษหนุ่มทุกคนก็ชงักไปอีกครั้ง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าอดีตของชายหนุ่มผู้นี้จะลึกลับซับซ้อนขนาดนี้
ห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัด ก่อนที่ชายหนุ่มจะนึกบางอย่าง ใช้หน้ากากตัดสินใจโดมตัวเข้าไปหาพวกแพทย์เทวะก่อนที่จะกล่าวบางสิ่ง
เวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่สามารถทราบได้ ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าแพทที่เก่งที่สุดในปฐพีมองท้องฟ้าที่กำลังเริ่มมีแสงของสุริยาปรากฏ ในหัวของเขาเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างหายไป แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผู้ช่วยของเขาหรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่าเงาได้เดินทางกลับไปยังฐานทัพโดยที่ยังไม่ได้กลับมา
“เอาล่ะเราคงจะได้เริ่มเคลื่อนไหวสักที ก่อนอื่นก็ต้องไปหาลูกชายของเมฆา ต้องไปเอาเจ้าสิ่งนั้นมาให้ได้”
ณฐานทัพของพวกกบฏ
ชายหนุ่มนามว่าเอ็ดเวิร์ดหม่องท้องฟ้าที่ค่อยๆเริ่มมีแสงส่อง เพียงไม่นานเขาก็จะรับเหยื่อรายใหม่ เขายิ้มอย่างชอบใจ
“มองอะไรกันนั้นหรือท่าน”
เสียงนุ่มนวลหวานใสของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามอง
“ค่ากำลังพยายามจดจำโลกใบนี้โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข อีกไม่นานมันก็จะเปลี่ยนไป มันจะเปลี่ยนแปลงไปแต่เป็นลูกที่แสนโกลาหลอีกครั้ง”
“เดิมทีพวกเราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเพื่อความสงบสุขก็ย่อมมีความโกลาหล เคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหมว่าก่อนการสรรสร้างก็ต้องเกิดจากการทำลายเสียก่อน ดังนั้นมันไม่มีทางเลือก”
“ข้าเข้าใจดี อีกไม่นานของพวกเราก็จะมาอย่างที่นี่ถ้ารู้สึกคันไม้คันมือจริง ๆ”
“หลังจากพวกนั้นมาถึงท่านก็สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ กลัวแต่เพียงว่าท่านจะไม่กล้าลงมือกับพวกเด็กๆที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เท่านั้น”
“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ค่ะยินดีเสมอ เขาไม่ได้มองพวกมันเป็นแต่มองพวกมันเป็นเหยื่อแห่ง ไม่สิวัตถุดิบอันทรงคุณค่าต่างหาก”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 233
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น