หนุ่มบ้านไร่จิตใจงดงาม

-A A +A

หนุ่มบ้านไร่จิตใจงดงาม

 ไร่องุ่น ‘พงศ์พิริยะศักดา’ เป็นไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ มีประมาณพันกว่าไร่ ไม่มีใครไม่รู้จักไร่องุ่นนี้ แต่ไม่ใช่มีเฉพาะไร่องุ่นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีโรงบ่มไวน์ที่ใช้สำหรับผลิตไวน์อีกด้วย

ที่ดินของไร่นี้เป็นเนินเขา เพราะฉะนั้นต้นองุ่นจึงถูกปลูกเรียงแถวยาวลงไปตามเนินเขา มีหลายร้อยแถวทำให้ดูสวยงามทีเดียว องุ่นที่ไร่นี้ปลูกมีด้วยกันสองสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่หนึ่งคือดอร์นเฟลเดอร์(Dornfelder) และสายพันธุ์ที่สองคือชีราส(Shiraz/Syrah) องุ่นสองสายพันธุ์นี้ถูกปลูกขึ้นมาเพื่อนำผลของมันไปผลิตเป็นไวน์ส่งไปขายยังผับบาร์ในตัวเมืองเชียงใหม่ สถานที่ที่พวกวัยรุ่นชอบพากันไปนั่งดื่มไวน์และฟังเพลงกัน ซึ่งในแต่ละปีนั้นจะขายไวน์และผลองุ่นได้ประมาณเกือบแสน สินค้าขายดีมากจึงสร้างความพึงพอใจให้ผู้เป็นเจ้าของไร่มากทีเดียว หายเหนื่อยไปเลย

แล้วบริเวณรอบๆ ไร่องุ่นก็มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากเพราะอยู่ติดกับภูเขา ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไร่องุ่น มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่วนมากจะท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวเพราะอากาศดี จะเห็นหมอกสวยๆ บนภูเขา ใครๆ ก็อยากมาเที่ยวที่นี่กันทั้งนั้น แถมเจ้าของไร่ยังอัธยาศัยดีอีกด้วย คุยสบายๆ กับนักท่องเที่ยวทุกคน อนุญาตให้ถ่ายรูปไร่องุ่นได้ไม่ห่วงห้ามเลย เพราะเจ้าของไร่ทั้งหล่อทั้งเท่

แล้วผู้ที่เป็นเจ้าของไร่ก็คือตะวันฉาย พงศ์พิริยะศักดา ชายหนุ่มวัย ๒๘ ปี สูง ๑๘๕ เซนติเมตร หน้าตาของเขาหล่อเหลาทีเดียว วงหน้าเป็นรูปไข่และมีหนวดเคราเล็กน้อย ลักษณะการแต่งตัวของเขาคือเขาชอบแต่งตัวแบบคนงานธรรมดาทั้งที่ตัวเองเป็นถึงเจ้าของไร่ แต่นี่คือความชอบส่วนตัวของเขา ชอบไม่เหมือนคนอื่น

ตะวันฉายรับช่วงดูแลไร่องุ่นต่อจากณภพ ซึ่งเป็นบิดาของเขาที่เป็นเจ้าของเดิม เนื่องจากเมื่อสองปีก่อนณภพเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะกลับจากดูงานที่กรุงเทพฯ สร้างความเสียใจให้คนที่เป็นลูกชายอย่างตะวันฉาย เขาจึงสัญญากับบิดาว่าเขาจะดูแลไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ให้ดีที่สุด เพราะไร่นี้บิดาลงทุนสร้างมาเองกับมือ

ตั้งแต่เขาจำความได้เขาก็เห็นบิดาทำงานไม่เคยหยุด ไม่เคยพักผ่อนหย่อนกายเลยสักครั้ง มีแต่ทำงานกับทำงานอย่างเดียว แม้กระทั่งก่อนที่จะเสียชีวิตก็ยังทำงาน ท่านทำงานจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว ส่วนเขาเองก็ได้ความขยันมาจากบิดาเช่นกัน เขาปลื้มใจที่มีบิดาอย่างณภพที่สุด ส่วนมารดาของเขานั้นเลิกรากับบิดาของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่รู้ประสีประสาอะไรนัก เมื่อโตขึ้นจึงช่วยบิดาดูแลไร่องุ่น และเมื่อบิดาเสียชีวิตเขาจึงต้องเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากท่าน ทั้งไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์ ทั้งหมดนี้เขาต้องดูแลเพียงลำพัง แต่เขายังไหวเพราะเขายังหนุ่มยังแน่น เขาจะพัฒนาไร่องุ่นและรวมถึงไวน์ให้ดีที่สุด

ตะวันฉายเป็นพ่อหม้ายลูกติด ภรรยาของเขาทิ้งเขาไปมีสามีใหม่ที่ต่างประเทศเมื่อสี่ปีก่อน ปล่อยให้เขาเลี้ยงลูกอยู่เพียงลำพังมาสี่ปี สร้างความเสียใจแก่เขาอย่างมาก แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งเพราะยังมีลูกที่ต้องดูแลแล้วไหนจะไร่องุ่นและโรงบ่มไวน์อีก เขาต้องดูแลทุกอย่าง...ชายหนุ่มมีลูกชายวัย ๕ ขวบชื่อเด็กชายอชิระ พงศ์พิริยะศักดา หรือน้องอชิ

น้องอชิเป็นเด็กที่น่ารัก เลี้ยงง่าย ยิ้มเก่ง จนคนงานในไร่ทุกคนต่างก็อดที่จะหลงรักน้องอชิไม่ไหวเลยทีเดียว แล้วน้องอชิก็เรียนอยู่ชั้นอนุบาลสามในโรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ด้วยความที่น้องอชิเป็นเด็กค่อนข้างที่จะร่าเริงจึงทำให้คุณครูที่โรงเรียนถึงกับหลงรักมากมาย แถมหน้าตาของน้องอชิยังหล่อเหมือนบิดาอีกด้วย ตะวันฉายรักลูกชายคนนี้มาก หวงแหนอีกด้วยเพราะเขามีลูกชายเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรักและหวงแหนลูกชายเป็นธรรมดา

วันนี้ตะวันฉายเดินตรวจงานในไร่ เพราะวันนี้เป็นวันที่จะต้องเก็บเกี่ยวผลองุ่นเพื่อนำไปผลิตไวน์ชั้นดี ตอนนี้คนงานจำนวนสามสิบคนกำลังช่วยกันเก็บเกี่ยวผลองุ่นอย่างขยันขันแข็ง

“ค่อยๆ ทำนะ ไม่ต้องรีบหรอก” ชายหนุ่มบอกกับคนงานทุกคน

คนงานทุกคนพยักหน้ายิ้มๆ ให้เจ้านายหนุ่ม ตะวันฉายเดินดูการเก็บเกี่ยวผลองุ่นไปเรื่อยๆ ทีละแถว แล้วนายวิน ซึ่งเป็นคนงานที่สนิทกับเขาเดินมาบอกว่า

“นายครับๆ มีคนมาพบนายครับ”

“ใคร” เจ้านายหนุ่มถามอย่างสงสัย

อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ไม่รู้สิครับ แต่เขารออยู่ที่บ้านของนาย ให้ผมบอกกับนายว่าให้รีบไปหาด่วน”

“อืม...” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะบอกกับคนงานทุกคนว่า “ทำงานไปนะทุกคน ไม่ต้องรีบๆ เสร็จตอนไหนก็ตอนนั้นละ เดี๋ยวผมมา” แล้วก็เดินออกไปทันที โดยมีนายวินเดินตามไป

 

 

“อ้าว! ไอ้ชล” ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่องุ่นเท่าไหร่นัก ตะวันฉายก็เห็นชลธร ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของเขาและสนิทกันมากด้วย กำลังนั่งรออยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ ก่อนจะนั่งลงตรงโซฟาอีกตัวแล้วถามอีกว่า “แล้วนี่แกมาได้ยังไงวะเพื่อน”

“เอ้า ฉันขับรถมาสิวะเพื่อน เออ แกนี่ก็ถามแปลกแฮะ” ชลธรตอบ แต่ค่อนข้างจะเป็นคำตอบที่ออกจะกวนๆ เสียหน่อย

“ยังกวนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะแก” ตะวันฉายขำ “ฉันหมายถึงว่าแกมาได้ยังไง เพราะฉันไม่เห็นแกมาหาฉันนานแล้ว ฉันก็เลยอดที่จะแปลกใจไม่ได้น่ะสิ”

อีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ

“อ้อ พอดีฉันตกงานน่ะ ฉันก็เลยกะว่าจะมาขอสมัครเป็นคนงานในไร่ของแก...ได้มั้ยวะ”

“ก็น่าจะได้นะ”

“เอ้า! ทำไมแกพูดแบบนี้วะ” ชลธรหน้าเหวอ

ตะวันฉายถึงกับหัวเราะ ก่อนจะถามว่า

“อะไรกันวะ แกเป็นถึงเพื่อนของเจ้าของไร่แล้วแกจะไปทำงานตากแดดในไร่เนี่ยนะ”

“เออ งานอะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะตอนนี้ฉันกำลังตกงานและฉันต้องการหางานใหม่ทำ”

“เอาละ แกไม่ต้องไปทำงานตากแดดในไร่หรอก แต่ฉันจะแต่งตั้งให้แกเป็นผู้จัดการไร่แทน”

“เฮ้ย! แกพูดจริงเหรอวะ”

“อืม...”

“แล้วทำไมแกถึงแต่งตั้งฉันให้เป็นผู้จัดการไร่วะ แกไว้ใจฉันเหรอ”

ผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นพยักหน้า

“ก็ไว้ใจสิวะ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่ แล้วเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากด้วย ฉันรู้จักนิสัยแกดีเลยละ นี่คือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจแต่งตั้งให้แกเป็นผู้จัดการไร่ ทีนี้แกเข้าใจฉันหรือยัง”

“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ยังไงฉันก็ขอบใจแกมากนะเพื่อน” ชลธรยิ้มดีใจ

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันน่ะมองหาคนที่จะมาเป็นผู้จัดการไร่องุ่นนานแล้ว แล้วก็พอดี้พอดีกับที่แกกำลังตกงานและมาของานฉันทำ ฉันก็เลยมอบตำแหน่งนี้ให้แกไป ว่าแต่...ทำไมอยู่ๆ แกถึงตกงานได้ล่ะ ก็ไหนแกบอกว่าบริษัทนั้นให้เงินเดือนดีไม่ใช่เหรอวะ”

“ก็ใช่แหละ แต่ฉันมานั่งคิดนอนคิดดูแล้วเนี่ยฉันว่างานแบบนั้นไม่เหมาะกับฉันหรอก ฉันก็เลยลาออกซะเลย”

“แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ งานดีๆ แบบนั้นแต่แกดันลาออก เวรก้ำเวรกรรม”

“เอาเหอะน่า ไหนๆ ฉันก็ลาออกแล้วก็แล้วไปเถอะ แล้วตอนนี้ฉันก็ได้งานใหม่ทำแล้วด้วย นั่นก็คือเป็นผู้จัดการไร่องุ่นของแกไง แล้วรายละเอียดของงานเป็นยังไงวะเพื่อน”

ตะวันฉายจึงบอกผู้เป็นเพื่อนว่า

“รายละเอียดมีดังนี้...หนึ่ง แกมีหน้าที่วางแผนบริหารจัดการงานในไร่...สอง กำกับและควบคุมการทำงานของคนงานในไร่ และงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย โอเค๊”

“โอเคเลยเพื่อน” ชลธรพยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องรับแขกคล้ายกับมองหาใครบางคน แล้วถามเจ้าของบ้าน “เอ้อ แล้วนี่น้องอชิไม่อยู่เหรอ”

“ก่อนออกจากบ้านแกได้ดูปฏิทินมั้ย” เขาถามกลับ

อีกฝ่ายทำหน้าฉงน

“ดูทำไมวะ”

“ก็ดูว่าวันนี้มันเป็นวันอะไรไง”

“เออ จริงด้วยแฮะ ฉันลืมว่าวันนี้เป็นวันพุธ น้องอชิก็ต้องไปเรียนสิ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ

“ถูกต้อง...”

“จะว่าไปที่นี่ก็ดูเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ หลังจากที่ฉันไม่ได้มาเหยียบนาน โดยเฉพาะ…” มองผู้เป็นเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า “โดยเฉพาะเจ้าของไร่อย่างแก ดูลักษณะการแต่งตัวของแกสิ นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเจ้าของไร่ฉันก็นึกว่าแกเป็นคนงานในไร่ซะอีก แต่งตัวก็เหมือนคนงาน ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ กับเสื้อยืดและใส่เสื้อลายสก็อตทับอีกที ส่วนรองเท้าก็ใส่รองเท้าแตะ แบบนี้มันคนงานชัดๆ”

“มันเป็นความชอบส่วนบุคคลโว้ย ฉันชอบของฉันแบบนี้ แกไม่เข้าใจหรอก”

“อ้อ แล้วอีกอย่าง…”

“อะไรอีกวะ”

“หนวดเคราแกน่ะควรโกนออกบ้างนะ โคตรเหมือนโจรชะมัด”

“นี่ก็เป็นความชอบส่วนบุคคลของฉันอีกเหมือนกัน แกอย่ามายุ่ง”

“เอาละๆ ฉันจะไม่ยุ่งก็ได้ ว่าแต่…น้องอชิเลิกเรียนกี่โมง”

“เวลาเดิม”

“เวลาเดิมน่ะกี่โมง”

“บ่ายสามครึ่ง”

“อ้อ…”

“แล้วนี่แกถามทำไม”

“ฉันว่าจะอาสาไปรับน้องอชิเอง เพราะฉันคิดถึงหลาน ได้มั้ยวะ”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจะเป็นคนไปรับลูกของฉันเอง”

“แกไม่ไว้ใจฉันเหรอเพื่อน”

“เปล่า!” ตะวันฉายส่ายหน้า “ฉันแค่ไม่อยากรบกวนแกก็เท่านั้นเอง”

“โธ่! รบกงรบกวนอะไรกัน เราเพื่อนกันแท้ๆ ไม่รบกวนหรอก”

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกก็รู้นี่ว่าฉันรักลูกของฉันมากแค่ไหน ทุกวันฉันจะเป็นคนไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยตัวเอง ฉันไม่ยอมให้ลูกนั่งโรงเรียนเด็ดขาดเพราะฉันกลัวจะเกิดอุบัติเหตุกับลูกของฉัน ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของลูก หวังว่าแกคงจะเข้าใจฉันนะ”

“อืม ฉันเข้าใจแก ถ้างั้นตอนเย็นฉันขอไปรับน้องอชิกับแกด้วยแล้วกัน”

“แบบนั้นได้…โอเค”

“แล้วเที่ยงนี้มีอะไรกินบ้างวะ ฉันรู้สึกหิวๆ” ชลธรถามยิ้มๆ พลางลูบท้องตัวเอง

ผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่ทันได้ตอบป้าจิต ซึ่งเป็นแม่ครัวของไร่ก็เข้ามาบอกว่า

“อาหารเที่ยงจัดขึ้นโต๊ะ เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตะวันฉาย”

“ครับ เดี๋ยวผมไปกิน” ชายหนุ่มพยักหน้า

แล้วป้าจิตก็เดินออกไปจากห้องรับแขก

คล้อยหลังแม่ครัวชลธรจึงพูดกับเพื่อนว่า

“ฉันว่าเราไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ ฉันหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว”

“เดี๋ยวก่อน” อีกฝ่ายบอก

“อะไรวะ ฉันหิว”

“ก่อนจะกินข้าว ฉันจะพาแกไปแนะนำให้คนงานทุกคนได้รู้จักก่อน”

“หลังจากกินข้าวเสร็จไม่ได้เหรอวะ”

“ไปแป๊บเดียวน่า”

“เออ ก็ได้” จำต้องยอมเพื่อน

“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องกลับมากินข้าวอีก” เขาลุกขึ้น

อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะลุกตามแล้วเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

ตะวันฉายพาเพื่อนมาตรงที่คนงานกำลังนั่งล้อมวงกินข้าวเที่ยงกันตรงไร่องุ่น เมื่อคนงานคนหนึ่งเห็นผู้เป็นนายเดินมาจึงเรียก

“อ้าว! นาย มาครับ มากินข้าวด้วยกัน”

“พวกคุณกินไปเถอะ เอาละ วางช้อนลงก่อนทุกคน แล้วหันมาฟังผมสักสามนาที” ผู้เป็นนายบอก

ทุกคนจึงวางช้อนตามคำสั่งของนายและหันไปฟังว่านายจะพูดอะไร

“ผมมีคนจะพามาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือชลธร เป็นเพื่อนของผมเอง เขาจะมาเป็นผู้จัดการไร่ของเรา”

คนงานทุกคนยกมือไหว้ผู้จัดการไร่คนใหม่

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะ” ทุกคนพูดภาษาเหนือ

ชลธรรับไหว้ยิ้มๆ

“ยังไงผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนด้วยนะครับ”

คนงานทุกคนพยักหน้าเป็นคำตอบ

จากนั้นตะวันฉายก็บอกกับคนงานทุกคนว่า

“เอาละ พากันกินข้าวต่อได้เลย ผมก็จะไปกินข้าวเหมือนกัน”

แล้วคนงานทุกคนก็หันกลับไปจับช้อนกินข้าวต่อทันที

“ไป…กลับไปบ้านกัน ไปกินข้าว แกหิวไม่ใช่เหรอ” ตะวันฉายถามเพื่อน

ชลธรพยักหน้ายิ้มๆ

“ใช่ๆ ไปสิๆ”

แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที

 

 

กรุงเทพมหานคร

ณ คฤหาสน์ของตระกูลวรรัตนาพันธ์ เป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่โตมโหฬาร ข้างหน้าคฤหาสน์ปลูกต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ล้วนแต่สวยทั้งนั้น ตรงกลางมีน้ำพุวงเวียน ทรง ๓ ชัน ทำให้คฤหาสน์ดูสวยงามมากขึ้น

ผู้เป็นประมุขคืออรรถพล วรรัตนาพันธ์ อายุ ๕๐ ปลายๆ เขานิสัยดี รักลูกรักภรรยา ขยันทำงาน แต่เขามีภรรยาอยู่สองคนนั่นก็คือภรรยาหลวงและภรรยาน้อย ภรรยาหลวงของเขาชื่อธัญวณีย์ วรรัตนาพันธ์ อายุ ๕๐ ต้นๆ หล่อนเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห ชอบอาละวาดใส่ภรรยาน้อยทุกวัน เพราะภรรยาน้อยเป็นคนรับใช้ของที่นี่ แต่พักอาศัยอยู่ที่ตึกเล็ก ซึ่งห่างจากตึกใหญ่แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง ธัญวณีย์นั้นมีลูกสาวและลูกชายสองคน

คนโตเป็นลูกสาวชื่อปาณิสรา วรรัตนาพันธ์ อายุ ๒๗ ปี หล่อนเป็นคนเจ้าอารมณ์เหมือนมารดา อะไรไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย ที่หล่อนมีนิสัยเช่นนี้ก็เพราะหล่อนถูกมารดาเลี้ยงมาแบบตามใจ หล่อนอยากได้อะไรมารดาก็หามาประเคนให้ทุกอย่าง เมื่อโตขึ้นหล่อนจึงกลายเป็นคนนิสัยเสีย ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ชอบพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น นิสัยของหล่อนต่างจากบิดาโดยสิ้นเชิง อรรถพลรู้สึกเหนื่อยใจกับนิสัยของลูกสาวคนนี้ช่างเหมือนมารดาไม่มีผิดเพี้ยน แต่เขาพูดอะไรไม่ได้ พูดไปภรรยาก็โกรธเขา ดังนั้นเขาจึงต้องเงียบเพราะไม่อยากทะเลาะกัน

ลูกชายคนเล็กชื่ออติวิชญ์ วรรัตนาพันธ์ อายุ ๒๔ ปี ชายหนุ่มเป็นคนนิสัยเกเร ชอบเที่ยวเตร่ ไม่ทำงานทำการ แบมือขอแต่เงินบิดามารดาใช้อย่างเดียว บิดาไม่ให้แต่มารดาเป็นคนให้ เพราะหล่อนชอบตามใจลูก มีลูกอยู่สองคนก็เลี้ยงอย่างตามใจทั้งสองคนจนลูกนิสัยเสีย อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ก็โวยวาย โดยเฉพาะอติวิชญ์ รายนี้ค่อนข้างที่จะนิสัยเสียมากกว่าพี่สาว ถ้าไม่ได้ดั่งใจต้องการก็โวยวายลั่นบ้านจนกว่าจะได้ แล้วมารดาก็หามาประเคนให้เหมือนพี่สาว ทั้งรถเอย สร้อยทองเอย โทรศัพท์เอย เรียกได้ว่าหาให้ทุกอย่างเลยทีเดียว

แต่ผู้เป็นบิดาก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะถ้าด่าหรือว่าไปก็จะโวยวายใส่บิดาทุกครั้ง จนอรรถพลเหนื่อยใจกับลูกทั้งสองคนจึงปล่อยให้ภรรยาเป็นคนดูแลลูกๆ ไป

ภรรยาน้อยของอรรถพลชื่อวิไล อายุ ๕๐ ต้นๆ เป็นคนใช้ที่นี่มานาน ตั้งแต่ก่อนที่อรรถพลจะแต่งงานกับธัญวณีย์ อรรถพลหลงรักหล่อนและแอบคุณอนงค์ลักษณ์ ซึ่งเป็นมารดาของเขาเพื่อมาหาหล่อนที่เรือนคนใช้ทุกวัน เพราะคุณอนงค์ลักษณ์ไม่อยากให้ลูกชายมีภรรยาเป็นคนใช้และได้หาภรรยาไว้ให้เขาแล้วนั่นก็คือธัญวณีย์ แต่แล้ววันหนึ่งท่านรู้เข้าก็โวยวายทุบตีวิไลและจะไล่วิไลออกจากคฤหาสน์ แต่อรรถพลขอร้องว่าอย่าไล่วิไลออก เขาสัญญาว่าจะแต่งงานกับธัญวณีย์ โดยให้วิไลอยู่ที่นี่เหมือนเดิม ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะไม่แต่งงานกับธัญวณีย์ คุณอนงค์ลักษณ์จำต้องยอมลูกชาย แต่หลังจากแต่งงานกับธัญวณีย์เขาก็ยังแอบมานอนค้างกับวิไลอีกจนกระทั่งหล่อนตั้งครรภ์ อรรถพลดีใจมาก เขานำเรื่องนี้ไปบอกมารดาเพราะหวังว่ามารดาจะดีใจ แต่เปล่าเลย ท่านกลับโวยวายและพยายามร่วมมือกับธัญวณีย์ทำให้หล่อนแท้งลูก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จหล่อนรอดมาได้ทุกครั้ง แต่หล่อนก็ไม่เคยนำเรื่องนี้ไปบอกอรรถพลเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หล่อนนั้นเจียมตัวเสมอว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไรในคฤหาสน์หลังนี้ แต่ที่ยอมหลับนอนกับเขาก็เพราะว่าหล่อนก็รักเขาเช่นกัน หล่อนทำตามหัวใจตัวเอง พยายามฝืนใจแล้วแต่ไม่สำเร็จจึงปล่อยตามเลย แต่ปัจจุบันคุณอนงค์ลักษณ์ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจแล้ว

แล้ววิไลให้กำเหนิดลูกชายคนหนึ่งชื่อวรเมธ ตอนนี้วรเมธอายุ ๒๘ ปี เกิดก่อนปาณิสราปีเดียวแต่หล่อนไม่นับเขาเป็นพี่เพราะเขาเป็นแค่ลูกคนใช้ แต่ความจริงแม่ของเขาเป็นภรรยาหลวงมากกว่าเพราะมาก่อนธัญวณีย์ แต่เพราะไม่มีทะเบียนสมรสจึงต้องเป็นภรรยาน้อยตามที่คนอื่นยัดเยียดให้ ชายหนุ่มค่อนข้างเป็นที่ชอบเจียมตัวเหมือนแม่ของเขา เวลาถูกปาณิสรากับอติวิชญ์แกล้งเขาก็ไม่สู้เพราะไม่อยากมีเรื่อง เขาจึงถูกกลั่นแกล้งเรื่อยมาแต่ก็อดทนมาตลอด อดทนเหมือนมารดาของเขา

อรรถพลจึงปลื้มลูกชายคนนี้มากและคิดว่าในอนาคตจะให้วรเมธไปช่วยงานในบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการขายรถยนต์หรู เป็นบริษัทของตระกูล โดยนำเข้ารถหรูจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย และรายได้ในแต่ละปีจึงค่อนข้างที่จะสูงทีเดียว เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดที่จะให้ลูกๆ เข้าไปช่วยทำงาน แต่ปาณิสรากับอติวิชญ์ก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง ความหวังเดียวของเขาในตอนนี้คือวรเมธคนเดียวเท่านั้น แต่เขายังไม่มีโอกาสพูดกับลูกชาย รออีกสักหน่อยเขาพูดแน่

เช้าวันนี้ครอบครัววรรัตนาพันธ์นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน อรรถพลนั่งหัวโต๊ะ ถัดมาคือธัญวณีย์ และอีกฝั่งลูกสาวกับลูกชายนั่ง อาหารเช้านี้เป็นอาหารฝรั่ง นั่นก็คือขนมปังปิ้งกับไข่ดาวและไส้กรอก เป็นอาหารง่ายๆ และทานแทบจะทุกเช้าเลยก็ว่าได้

แล้วอรรถพลก็พูดกับลูกสาวและลูกชาย

“ยายณิส ตาวิชญ์ พ่อว่าแกสองควรที่จะเข้าไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัทได้แล้ว อายุของแกสองคนก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะ หัดทำงานทำการกันได้แล้ว ไม่ใช่ขอเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ แบบที่เป็นอยู่ทุกวัน”

“นี่คุณคะ จะต้องให้ลูกไปทำงานทำไมกันคะ เพราะตอนนี้บ้านเราก็รวยล้นฟ้าแล้ว ให้ลูกๆ นั่งนอนใช้เงินไม่ดีกว่าเหรอคะ” ธัญวณีย์พูดกับสามี

อีกฝ่ายมองภรรยาอย่างเบื่อหน่าย ชอบตามใจลูกๆ เมื่อลูกๆ บอกว่าไม่อยากทำงานก็ไม่ให้ทำ ให้ลูกๆ นั่งนอน ฮึ! ช่างพูดมาได้

“ก็เพราะว่าคุณชอบตามใจลูกแบบนี้ไงลูกมันถึงได้นิสัยเสียเหมือนคุณ แทนที่คุณจะสนับสนุนให้ลูกๆ ทำงานแต่กลับบอกว่าให้ลูกๆ นั่งนอนใช้เงิน คุณเป็นแม่ประสาอะไร หา! คิดได้ยังไงไอ้คำว่านั่งนอนใช้เงิน ถึงตระกูลเราจะรวยอยู่แล้วแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องทำงานนี่ บริษัทของเราก็มีและงานในบริษัทก็มีให้ทำตั้งมากมาย ต้องบอกให้ลูกๆ เข้าไปทำงานในบริษัทถึงจะถูก”

“ใช่สิครับ ก็ผมกับพี่ณิสไม่ได้นิสัยดีและขยันเหมือนไอ้ลูกคนใช้นี่ครับ ถ้าคุณพ่ออยากให้ไอ้เมธเข้าไปทำงานในบริษัทก็ได้นะครับ ผมไม่ว่า” อติวิชญ์ลุกขึ้นมองบิดาอย่างไม่พอใจระคนน้อยใจที่บิดาสนใจแต่วรเมธ ไม่สนใจเขากับพี่สาวเลย ทั้งที่เขากับปาณิสราก็เป็นลูกของท่านเหมือนกันแต่ท่านกลับไม่สนใจ อะไรๆ ก็วรเมธคนเดียว คิดแล้วมันน่าโกรธแค้นวรเมธยิ่งนัก

“นี่ตาวิชญ์ แกพูดอะไรออกมาน่ะฮึ! พูดออกมาได้ยังไงว่าจะให้ไอ้เมธเข้าไปทำงานในบริษัทก็ได้ จะพูดอะไรก็หัดคิดซะก่อนสิ” ผู้เป็นมารดาปรามลูกชาย

ปาณิสราจึงบอกกับน้องชายว่า

“นั่นสิ นายวิชญ์ พี่ว่าแกไม่ควรพูดออกมาแบบนั้นก็เท่ากับว่าแกคิดจะสนับสนุนไอ้ลูกคนใช้ให้เข้าไปทำงานในบริษัท ให้มันอยู่ในระดับเดียวกับเรา ไม่ได้นะ…แกควรพูดกับคุณพ่อใหม่เดี๋ยวนี้”

“ไม่!” อติวิชญ์พูดได้คำเดียวก็ผลุนผลันออกไปอย่างอารมณ์เสีย

อรรถพลส่ายหน้าอย่างเอือมระอาลูกชายคนนี้ นับวันยิ่งจะก้าวร้าวขึ้นไปทุกที ไม่เห็นหัวผู้เป็นบิดาอย่างเขาเลย ได้นิสัยมารดาทั้งหมด ไม่มีลูกๆ คนไหนได้นิสัยเขาบ้างเลย ไม่มีใครขยันสักคน คิดแล้วก็เหนื่อยใจจริงๆ

“นี่! ยายณิส แกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะได้มั้ย” ผู้เป็นบิดาพูดกับลูกสาว “เพราะถึงยังไงตาเมธก็เป็นพี่ชายของแก พี่ชายที่มีพ่อคนเดียวกับแกไง แล้ว…”

“ยังไงณิสก็ไม่มีนับญาติกับไอ้ลูกคนใช้เด็ดขาด ณิสเกลียดมัน มันไม่ใช่พี่ชายของณิส” ปาณิสราบอกด้วยสายตาแข็งกร้าว

อรรถพลมองลูกสาวด้วยความไม่พอใจ

“มันจะเกินไปแล้วนะยายณิส ถึงเขาจะอยู่ในระดับไหนแต่เขาก็เป็นคนเหมือนกับแก เกิดมาจากน้ำเชื้อตัวเดียวกับแกนะ แกควรจะหัดนึกถึงข้อนี้ซะบ้าง”

“ใช่สิคะ ก็ณิสกับนายวิชญ์ไม่ใช่ลูกรักของคุณพ่อเหมือนไอ้เมธนี่ ไม่ว่าไอ้เมธมันจะทำอะไรมันถูกเสมอในสายตาของคุณพ่อ แต่ณิสกับนายวิชญ์ทำอะไรก็ผิดไปหมด คุณพ่อลำเอียงที่สุด” คราวนี้หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความรู้สึกน้อยใจบิดา บิดาไม่เคยสนใจ ไม่ว่าหล่อนกับน้องชายจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมดในสายตาของบิดา ส่วนคนที่ถูกเสมอกลับเป็นลูกคนใช้อย่างวรเมธ จึงเกิดเป็นความน้อยใจขึ้นมานั่นเอง

ธัญวณีย์เห็นด้วยกับลูกสาว หล่อนจึงพูดกับสามีว่า

“ที่ยายณิสพูดก็ถูก คุณน่ะลำเอียง รักแต่ไอ้ลูกคนใช้ แต่ไม่เคยรักลูกที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างยายณิสกับตาวิชญ์เลย แทนที่คุณจะรักยายณิสกับตาวิชญ์มากกว่าไอ้ลูกคนใช้ แต่คุณกลับรักไอ้เมธมากกว่า แบบนี้แหละที่เรียกว่าลำเอียง”

“ถ้าคุณอยากให้ผมรักยายณิสกับตาวิชญ์มากกว่าตาเมธละก็…คุณก็บอกให้ลูกทั้งสองคนไปช่วยผมทำงานที่บริษัทสิ แล้วผมจะทั้งรักและภูมิใจ คุณบอกลูกสิ” ผู้เป็นสามีบอกกับภรรยาอย่างเหลืออด

ปาณิสราได้ยินจึงบอกว่า

“ไม่มีทางค่ะ ณิสไม่ยอมเข้าไปทำงานที่บริษัทหรอก เป็นตายร้ายดียังไงณิสก็ไม่ไปทำ” แล้วหันไปทางมารดา “คุณแม่คะ ณิสจะขออนุญาตไปเที่ยวที่เชียงใหม่กับเพื่อนๆ นะคะ อยู่บ้านแล้วณิสอารมณ์เสียทุกวัน เบื่อ!”

“แล้วลูกจะไปกี่วันล่ะจ๊ะ” หล่อนถามลูกสาว

อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ไม่รู้สิคะ ถ้าเที่ยวแล้วสนุกก็อาจจะอยู่เที่ยวต่อหลายวันเลยค่ะคุณแม่”

“แม่คงคิดถึงลูกแย่เลย”

“เดี๋ยวณิสจะรีบกลับมานะคะ”

“แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แกต้องอยู่ช่วยงานพ่อ” ผู้เป็นบิดาบอก

แต่ปาณิสรากลับดื้อรั้น หล่อนลุกขึ้นยืนและบอกกับบิดาว่า

“ยังไงคุณพ่อก็ห้ามณิสไม่ได้หรอกค่ะ ณิสยืนยันว่าณิสจะไปเที่ยวให้ได้ค่ะ ณิสขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ผลุนผลันออกไปทันที

อรรถพลมองตามหลังลูกสาวพลางส่ายหน้าเอือมระอาที่สุด ก่อนจะหันกลับมาพูดกับภรรยา

“เป็นยังไงล่ะคุณณีย์ ผลของการเลี้ยงลูกแบบตามใจของคุณน่ะ ดูสิ ลูกทั้งสองคนกลายเป็นคนก้าวร้าว ดื้อรั้น ไม่เห็นหัวพ่อ สุดท้ายก็กลายเป็นคนนิสัยเสียเหมือนคุณไง” พูดจบเขาก็ลุกเดินออกไปอีกคน

ธัญวณีย์จึงตะโกนตามหลังสามีอย่างไม่พอใจ

“อ๊าย คุณอรรถ คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง คุณมาว่าฉันแบบนี้ไม่ได้นะ...เพราะแก ไอ้ลูกขี้ข้า แกแย่งความรักจากคุณอรรถไปหมด จนไม่เหลือให้ลูกๆ ของฉันเลย ฉันเกลียดแก เรื่องนี้แกต้องรับผิดชอบ” แล้วหล่อนก็ลุกเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย

หล่อนชอบโทษว่าเป็นความผิดของวรเมธ โดยไม่มองดูพฤติกรรมของลูกๆ ตัวเองว่าสมควรแล้วหรือที่จะให้บิดารัก ไม่มีใครรักคนดื้อคนก้าวร้าวหรอก ทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของหล่อนด้วย ถ้าหล่อนไม่เลี้ยงลูกๆ แบบตามใจลูกๆ ก็คงไม่มีนิสัยอย่างนี้

แต่ก็อย่างว่าละหล่อนไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเอง หล่อนมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่นเสมอ ส่วนตัวหล่อนนั้นถูกทุกอย่าง ลูกๆ จึงได้นิสัยมาจากหล่อนเต็มๆ เป็นนิสัยที่แก้ยากเลยเชียวละ

 

 

ที่ตึกเล็ก

วิไลกำลังนั่งเย็บกางเกงที่ขาดอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งของบ้าน ส่วนวรเมธนั่งอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มกำลังนั่งดูทีวี แล้วสักพักผู้เป็นมารดาก็ถามลูกชายว่า

“ตาเมธ ถ้าเกิดวันหนึ่งคุณพ่อเขามาขอให้ลูกไปช่วยทำงานในบริษัทแล้วลูกจะไปมั้ย”

วรเมธละสายตาจากหน้าจอทีวีแล้วหันมายิ้มให้มารดา ก่อนจะบอกว่า

“ไปแน่นอนครับแม่ เพราะผมสงสารคุณพ่อ ท่านก็อายุเยอะแล้วแต่ท่านยังทำงาน ส่วนคุณณิสกับคุณวิชญ์ก็ไม่อยากเข้าไปช่วยงานคุณพ่อ อยากแต่จะใช้เงินอย่างเดียว ถ้าวันหนึ่งคุณพ่อมาขอให้ผมเข้าไปช่วยทำงานในบริษัทผมก็จะไปครับ ไม่ว่าคุณพ่อจะให้ผมทำในตำแหน่งอะไรผมก็ทำทั้งนั้นครับแม่”

“จ้ะลูก ก็ดีแล้วละที่ลูกคิดจะเข้าไปช่วยคุณพ่อทำงานในบริษัท อะไรที่ลูกพอจะช่วยท่านได้ก็ช่วยไปเพราะเป็นหน้าที่ของคนเป็นลูก” หล่อนยิ้มให้

แล้วสองคนแม่ลูกก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นธัญวณีย์เดินเข้ามาที่ตึกเล็กด้วยสีหน้าโมโหโกรธา และยังได้ยินที่วิไลกับวรเมธคุยกันอีก ตอนนี้สีหน้าของภรรยาหลวงเตรียมจะเอาเรื่องภรรยาน้อยกับลูกชายเต็มที่

“แกฝันไปเถอะว่าไอ้ลูกชายของแกมันจะได้เข้าไปทำงานในบริษัทของตระกูล ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกขี้ข้ายังไงมันก็ต่ำอยู่ดี ไม่ต้องไปคาดหวังว่ามันจะได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงๆ เท่าเทียมกับลูกๆ ของฉัน แกสองคนอยู่ที่ต่ำๆ น่ะดีแล้ว อย่าทะเยอทะยานให้มันมากนัก ถ้าตกลงมาเดี๋ยวมันจะไม่คุ้มเอา”

“คุณธัญวณีย์คงเข้าใจอะไรผิดนะคะ ดิฉันกับลูกไม่เคยคิดที่จะอยู่บนที่สูงๆ เพราะที่ๆ เราสองคนอยู่ตอนนี้มันก็สุขสบายมากพอแล้วละค่ะ ดิฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว อ้อ แล้วดิฉันกับลูกก็ไม่เคยคิดที่จะทะเยอทะยานเหมือนอย่างที่คุณว่าเลยค่ะ” วิไลบอกกับอีกฝ่าย

ธัญวณีย์แค่นหัวเราะ

“ฮึ! พูดออกมาได้ว่าไม่เคยคิดที่จะทะเยอทะยาน แล้วไอ้ที่ยอมเสียตัวให้คุณอรรถล่ะ ไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยานหรือไง อย่ามาบอกว่าไม่ใช่เพราะฉันไม่มีวันเชื่อแก เป็นขี้ข้าอยู่ดีๆ ก็ริอยากเป็นคุณนาย จนยอมเสียตัวให้เจ้านาย...ทุเรศสิ้นดี”

“ดิฉันกับคุณอรรถเรารักกันค่ะ”

“รักกันงั้นเหรอ ฟังเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ที่หล่อนรักเขาเพราะความทะเยอทะยานมากกว่ามั้ง จนยอมเอาตัวเข้าแลก...จน...จนมีไอ้นี่” หล่อนชี้หน้าวรเมธด้วยสีหน้าขึงขัง

คนถูกชี้หน้ากำมือแน่นสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้มันพลุ่งพล่าน ชายหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

ธัญวณีย์มองเห็นมือของวรเมธที่กำแน่น หล่อนจึงแค่นหัวเราะพลางถามว่า

“แกกำมือทำไม แกคิดจะทำอะไรฉัน หา! ไอ้ลูกขี้ข้า”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรแม่ใหญ่หรอกครับ ขืนผมทำไปก็เสียแรงเปล่า สู้เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นจะดีกว่า” วรเมธตอบแบบมีเลศนัย

“ก็ดี...อย่าให้ฉันรู้ละว่าแกคิดจะทำอะไรฉัน ไม่งั้นฉันเอาเรื่องแกแน่ไอ้ลูกขี้ข้า”

คราวนี้ชายหนุ่มไม่ทน เขาลุกขึ้นประจันหน้ากับธัญวณีย์

“คำก็ไอ้ลูกขี้ข้า สองคำก็ไอ้ลูกขี้ข้า เป็นลูกขี้ข้าแล้วมันด้อยกว่าลูกเมียหลวงอย่างแม่ใหญ่ยังไงไม่ทราบครับ ถ้าวัดกันที่ความเป็นคนผมก็มีเหมือนพวกคุณ แต่ถ้าวัดกันที่เงินทองผมขอยอมแพ้”

“ใจเย็นๆ ลูก” วิไลห้ามลูกชาย

วรเมธส่ายหน้าไม่ยอม

“เย็นไม่ได้แล้วครับแม่ เขามาหาเรื่องเราก่อน เราจะยอมเขาได้ยังไง”

“นี่สินะธาตุแท้ของแก” ธัญวณีย์ยิ้มเยาะ “ในที่สุดแกก็เผยธาตุแท้ของแกออกมา โธ่เอ๊ย ฉันก็นึกว่าแกจะเป็นคนดี ที่ไหนได้...”

“นี่ไม่ใช่ธาตุแท้ของผม แต่ถ้ามีใครมาดูถูกผมกับแม่มากๆ ผมก็จะไม่ทนเหมือนกัน”

“ไม่ทนแล้วแกจะทำอะไรฉัน หา!” หล่อนถามอย่างท้าทายพลางยิ้มเยาะ

วรเมธเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย มองด้วยสายตาขึงขังจนอีกฝ่ายต้องถอยห่างอย่างกลัวๆ

“ตอนนี้ผมยังไม่ทำอะไรแม่ใหญ่หรอกครับ แต่อย่าทำให้ผมหมดความอดทนมากไปกว่านี้ละกัน...ไม่งั้นผมอาจจะทำ”

“ไม่เอาลูก...ไม่เอา” ผู้เป็นมารดาห้าม

ชายหนุ่มจึงบอกกับมารดาว่า

“ที่ผ่านมาผมยอมคนที่ตึกใหญ่มาพอแล้วครับ ผมให้พวกรังแก แต่ต่อไปนี้มันต้องตาต่อตา ฟันต่อฟันมันจึงจะเหมาะสมกันดี...จริงมั้ยครับแม่ใหญ่” ประโยคท้ายหันไปถามธัญวณีย์ยิ้มๆ

“ไอ้บ้า!” ด่าเสร็จหล่อนก็เดินออกไปด้วยท่าทางกลัวๆ

คล้อยหลังธัญวณีย์ วิไลก็ถามลูกชายว่า

“ลูกไปพูดกับคุณณีย์แบบนั้นทำไม ดูเมื่อกี้สิ เธอท่าทางกลัวลูกมาก”

“ให้แม่ใหญ่กลัวผมน่ะดีแล้วครับแม่ ที่ผ่านมาผมกับแม่กลัวเขากับลูกๆ ของเขามามากพอแล้วครับ ต่อไปนี้ถึงทีที่พวกเขาจะต้องกลัวเราสองคนบ้าง เราอย่าไปกลัวเขาครับเดี๋ยวเขาจะได้ใจแล้วรังแกเราอีก”

“แม่กลัวว่าถ้ารู้ไปถึงหูคุณพ่อ...”

“คุณพ่อท่านเข้าใจเราสองคนครับ ท่านก็เคยเห็นว่าแม่ใหญ่มาหาเรื่องเราสองคนแม่ลูกบ่อยๆ ท่านคงรู้ว่าที่ผมทำไปอย่างนั้นเพราะปกป้องตัวเองกับแม่ และท่านคงจะไม่ว่าอะไรผมกับแม่แน่นอนครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างมั่นใจที่สุด

“แต่แม่รู้สึกกังวลใจยังไงไม่รู้” หล่อนรู้สึกกังวล กลัวจะมีเรื่องตามมาในภายหลัง

ผู้เป็นลูกชายโอบไหล่มารดาพลางบอกว่า

“แม่ทำใจให้สบายนะครับ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น มันจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน เชื่อผมนะครับ”

วิไลพยักหน้ารับรู้ แต่สีหน้ายังมีร่องรอยของความกังวลอยู่ หล่อนไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้นเพราะกำลังกังวลใจอยู่ลึกๆ ต่างจากวรเมธที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น กลับยิ้มออกมาได้อย่างไม่กลัวอะไรเลย นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจที่ใครก็ไม่อาจรับรู้ได้ นอกจากตัวของเขาเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาคืออะไรกันแน่

 

 

ปาณิสรากำลังเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่ในตอนกลางคืนกับกลุ่มเพื่อน แต่เพื่อนคนอื่นๆ นั่งรถอีกคัน แต่หล่อนเลือกที่จะขับรถเบนซ์หรูคันสีขาวของตัวเองตามหลังเพื่อนๆ เพราะหล่อนอยากอยู่คนเดียวก่อน คิดอะไรไปเรื่อย แล้วเสียงโทรศัพท์ของหล่อนก็ดังขึ้น หล่อนปล่อยมืออีกข้างจากพวงมาลัยแล้วไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ๆ ตัวขึ้นมาดูว่าใครโทร. หาหล่อน เมื่อเห็นเป็นชื่อมารดาหล่อนก็กดรับสายทันที

“สวัสดีค่ะคุณแม่ มีอะไรรึเปล่าคะ”

“ตอนนี้ลูกถึงเชียงใหม่แล้วหรือยังจ๊ะ” ปลายสายถามกลับมา

ปาณิสราจึงตอบกลับไปว่า

“อ้อ ยังค่ะ น่าจะอีกสักพักค่ะ”

“แม่ขออวยพรให้ลูกของแม่เดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัยนะจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะคุณแม่ ค่ะ สวัสดีค่ะ” หล่อนยิ้ม ก่อนจะวางสายไปแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เมื่อหันไปข้างหน้าอีกทีรถของเพื่อนก็หายไปแล้ว “อ้าว! แล้วรถของยายจิ๊บหายไปไหนแล้วเนี่ย ฉันว่าฉันขับตามติดๆ แล้วนะ”

แล้วหล่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กะว่าจะโทรหาเพื่อนแต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันแบตหมดเสียนี่ ทั้งที่เมื่อกี้หล่อนเพิ่งจะคุยกับมารดาได้อยู่เลย

“อะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ถึงแบตหมดได้นะ ทั้งที่เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งจะคุยกับคุณแม่ โธ่เอ๊ย! แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่รู้พวกนั้นไปถึงไหนกันแล้ว อีเพื่อนบ้าไม่คิดจะรอฉันบ้างเลยนะยะ” หล่อนรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

หญิงสาวขับรถไปถึงไหนแล้วไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ถนนเส้นนี้รู้สึกเปลี่ยวๆ อย่างไรชอบกล แทบจะไม่มีรถคันไหนวิ่งผ่านเลยสักคัน แถมค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศสองข้างทางดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก โอ้! เวรกรรมแท้ๆ

“ใช่ถนนผีสิงรึเปล่าเนี่ย เงียบเชียว” หล่อนตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง

แล้วอยู่ๆ รถเจ้ากรรมก็หยุดวิ่งเอาเสียดื้อๆ ตอนนี้รถของหล่อนจอดสนิทอยู่ข้างทาง หล่อนรู้สึกหงุดหงิดมาก

“โธ่เอ๊ย! มันเป็นอะไรกันนักกันหนา เดี๋ยวก็แบตโทรศัพท์หมด เดี๋ยวก็รถเสีย ถนนเส้นนี้ก็ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านด้วย โอ๊ย ฉันอยากจะบ้าตาย” หล่อนลองสตาร์ทรถดูหลายครั้ง แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็สตาร์ทไม่ติดอยู่ดี หล่อนจึงหงุดหงิดอารมณ์เสีย

ขณะที่ปาณิสรากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี อยู่ๆ ก็มีคนมาเคาะกระจกรถ หญิงสาวตกใจเพราะคิดว่าเป็นผีจึงร้องกรี๊ด

“กรี๊ดดดด!!”

กระทั่งได้ยินเสียงคนถาม

“มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยจ๊ะน้องสาว”

เจ้าของรถหันไปมองหน้าคนถาม หล่อนเห็นว่าเป็นผู้ชายหน้าโหดสองคนยืนอยู่ตรงประตูอีกฝั่ง พวกนั้นกำลังด้อมๆ มองๆ หล่อนผ่านกระจกรถ หล่อนกลัวจึงส่ายหน้าปฏิเสธการช่วยเหลือ

“ไม่มีค่ะ ไม่มีอะไรให้พวกพี่ช่วยเลยค่ะ”

“แน่ใจนะจ๊ะ” ผู้ชายหน้าโหดหนึ่งในสองคนถาม

ปาณิสราพยักหน้ายืนยัน

“ค่ะ ไม่มีจริงๆ ค่ะ”

“แต่พี่ว่ามี” อีกคนว่า

“ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย” หล่อนยืนยันอีกครั้ง

แล้วผู้ชายหน้าโหดที่ถามหญิงสาวครั้งแรกก็ถามขึ้นอีกว่า

“รถของน้องเสียใช่มั้ย พี่สองคนซ่อมรถเป็นนะ พี่สองคนเคยเป็นช่างซ่อมรถมาก่อน”

“เอ้อ...” หล่อนลังเล ไม่ไว้ใจผู้ชายหน้าโหด

ส่วนอีกคนก็บอกว่า

“น้องไม่มีเวลาคิดแล้วนะ ถนนเส้นนี้ก็เปลี่ยว รถก็ไม่ค่อยวิ่งผ่าน แถมอู่ซ่อมรถแถวนี้ก็ไม่มี ถ้าน้องอยากให้รถกลับมาใช้ได้ตามปกติก็ต้องเลือกแล้วละ”

“ก็ได้ค่ะ หนูจะให้พวกพี่ซ่อมรถให้ ว่าแต่...พวกพี่ซ่อมรถเป็นจริงๆ ใช่มั้ยคะ” ถึงหล่อนจะยอมให้ผู้ชายหน้าโหดทั้งสองซ่อมรถให้ แต่หล่อนก็มีความรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเล็กน้อยเพราะท่าทางทั้งสองน่ากลัวทีเดียว

“ซ่อมเป็นจริงๆ สิจ๊ะ พี่สองคนไม่โกหกหรอก” หนึ่งในสองคนบอก

เจ้าของรถพยักหน้า

“ถ้างั้นพวกพี่ก็ซ่อมเลยค่ะ เดี๋ยวหนูให้เงิน”

“พี่ว่าน้องควรจะลงจากรถก่อนดีกว่านะ”

“ต้องลงจากรถด้วยเหรอคะ” หล่อนถามอย่างแปลกใจ

อีกฝ่ายพยักหน้า

“จ้ะ ต้องลงจากรถก่อน เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะซ่อมเสร็จ”

“เอ้อ...” หล่อนลังเล

“ลงมาเถอะจ้ะ” อีกคนรบเร้า

ในที่สุดปาณิสราจึงยอมลงจากรถ โดยไม่ลืมหยิบเอากระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ไปด้วย หญิงสาวไปยืนตรงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างทาง ที่อยู่ข้างหลังผู้ชายหน้าโหด แล้วหล่อนก็บอกกับผู้ชายหน้าโหดทั้งสองว่า

“พวกพี่ซ่อมรถเลยสิคะ ยืนอยู่ทำไมกันล่ะคะ”

“พวกพี่เปลี่ยนใจแล้ว” หนึ่งในสองคนบอก

“มะ...หมายความว่ายังไงคะ” หล่อนรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ผู้ชายหน้าโหดทั้งสองดูท่าทางแปลกๆ

ผู้ชายหน้าโหดทั้งสองหันมามองปาณิสราด้วยสายตาร้ายๆ พลางยิ้มมุมปาก ก่อนที่หนึ่งในสองคนจะควักปืนที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาแล้วหันกระบอกปืนมาหาหญิงสาว หล่อนตกใจมากจึงยกมือไหว้ขอร้องผู้ชายหน้าโหดทั้งสอง

“พวกแกอย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันขอร้องละ พวกแกอยากได้เงินใช่มั้ย อะ เอาไปสิ เงินฉันอยู่ในกระเป๋านี่” หล่อนยื่นกระเป๋าสะพายให้ทั้งสองคน

พวกมันหัวเราะประสานเสียงกันราวกับเป็นเรื่องตลก ก่อนที่คนแรกจะบอกกับหญิงสาวว่า

“เงินน่ะพวกฉันเอาแน่ แต่...”

“แต่พวกฉันอยากได้ชีวิตของเธอมากกว่า” อีกคนบอกพลางส่งยิ้มเหี้ยมให้หญิงสาว

ปาณิสราตกใจรีบถอยหนี พลางถามทั้งสองว่า

“พวกแกจะฆ่าฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้พวกแก ฉันมั่นใจว่าฉันไม่เคยรู้จักพวกแกเลย”

“ไม่ใช่พวกฉันหรอกที่ต้องการชีวิตเธอ แต่เป็นลูกพี่ของพวกฉันต่างหาก”

“แล้วลูกพี่ของพวกแกเป็นใคร หา!” หล่อนทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้ ตกใจกลัวมาก โทรศัพท์ก็ดันแบตหมด จะโทร. ขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ โอ้! เวรกรรมของหล่อนแท้ๆ ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรเช่นนี้ด้วย แค่คิดหล่อนก็อยากจะร้องไห้แล้ว

พวกมันไม่ตอบแต่รีบเดินตรงเข้ามาหาหล่อนอย่างเร็ว หล่อนรีบวิ่งหนีไปทางหนึ่ง มองตามถนนก็ไม่เห็นรถวิ่งผ่านมาสักคัน จะโบกขอความช่วยเหลือหน่อยก็ไม่ได้ หล่อนวิ่งๆ วิ่งหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่หันมองด้านหลัง แต่อยู่ๆ เหมือนมีอะไรแข็งๆ ฟาดลงตรงศีรษะหล่อนอย่างแรงจนหล่อนร้องลั่น

“โอ๊ยยย!” หล่อนเดินเซก่อนจะล้มลงนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น

เมื่อเห็นปาณิสราล้มลงนอนหมดสติและมีเลือดไหลออกจากศีรษะเยอะมาก พวกมันยิ้มพอใจ แล้วพวกมันก็มั่นใจว่าหญิงสาวเสียชีวิตแล้วจึงพูดคุยกัน

“ข้าว่านังนี่ยังไงมันก็ต้องตายร้อยเปอร์เซ็นแน่นอน”

“ยิงมันซ้ำดีกว่ามั้ย เผื่อมันอาจจะไม่ตาย”

“ไม่ต้องหรอก ข้าว่ามันตายชัวร์”

“ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะโทร. ไปบอกลูกพี่ก่อน” อีกคนบอก พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทร เมื่อเจอเบอร์โทรที่ถูกเมมชื่อว่า ‘ลูกพี่’ มันก็กดโทร. ออก ไม่นานนักปลายสายก็กดรับมันจึงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “สวัสดีครับลูกพี่ งานสำเร็จแล้วนะครับ พวกผมจัดการนังผู้หญิงที่ชื่อปาณิสราตามที่ลูกพี่สั่งให้แล้วนะครับ ตอนนี้มันนอนแอ้งแม้งเลือดออกเยอะมากเลยครับ ยังไงมันก็ตายชัวร์ครับ ได้ครับ ขอบคุณมากครับลูกพี่” แล้วมันก็วางสายไป

ที่แท้ที่พวกมันมาตามฆ่าปาณิสราก็เป็นเพราะว่าพวกมันทำตามคำสั่งของ ‘ลูกพี่’ นั่นเอง แปลว่าลูกพี่ของพวกมันจะต้องเป็นคนที่เกลียดปาณิสรามากแน่ๆ ถึงขั้นส่งลูกน้องมาตามฆ่าถึงจังหวัดเชียงใหม่กันเลยทีเดียว

แต่ก็ไม่รู้ว่า ‘ลูกพี่’ ของพวกมันเป็นใครถึงได้ใจคอโหดเหี้ยมและสั่งฆ่าหญิงสาวได้ลงคอ แต่ที่แน่ๆ ลูกพี่ของพวกมันจะต้องรู้จักมักจี่กับหญิงสาวแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้หรอกว่าหล่อนจะมาเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่และสั่งลูกน้องทั้งสองคนให้มาดักฆ่าหล่อนหรอก

“ลูกพี่ว่ายังไงบ้างวะ” อีกฝ่ายถาม

“ลูกพี่ชมเราสองว่าทำงานดีมาก เดี๋ยวลูกพี่จะโอนเงินมาให้”

“ดี! ข้ากำลังอยากได้เงินไปเปย์ผู้หญิงอยู่พอดีเลยว่ะ”

“ข้าก็เหมือนกัน” อีกคนยิ้ม ก่อนจะถามเพื่อนว่า “แล้วศพนังนี่ล่ะ”

“เอาไว้แบบนี้แหละ แต่ตอนนี้ข้าว่าเราสองคนรีบหนีกันเถอะว่ะ เดี๋ยวมีคนมาเห็นจะซวยเอา”

“ข้าว่าเอากระเป๋ากับโทรศัพท์ของนังนี่ไปด้วยดีกว่านะโว้ย” พูดจบมันก็ก้มลงหยิบเอากระเป๋าสะพายและโทรศัพท์ของปาณิสราที่หล่นอยู่บนพื้นพลางพูดกับหล่อน “ของพวกนี้พี่ขอแล้วกันนะน้องสาว”

“ข้าว่ารีบไปกันเถอะ” ผู้เป็นเพื่อนบอก อีกฝ่ายพยักหน้า แล้วจากนั้นพวกมันก็พากันเดินไปขึ้นรถของพวกมันที่จอดอยู่ใกล้ๆ และขับออกไปทันที ปล่อยให้ปาณิสรานอนหมดสติอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยวและน่าเวทนา

คล้อยหลังพวกคนร้ายไม่นานก็มีรถจิ๊ปสีขาวคันหนึ่งแล่นผ่านมา แล้วก็จอดทันทีเมื่อมองเห็นคนนอนหมดสติอยู่ข้างถนน เจ้าของรถรีบลงจากรถทันที เป็นรถจิ๊ปของตะวันฉายนั่นเอง ชายหนุ่มขับรถมาจากตัวเมืองเชียงใหม่กับชลธร ซึ่งทางกลับไร่ก็ต้องผ่านทางนี้อยู่แล้ว เมื่อเขาขับรถมาถึงแถวนี้ก็มองไปข้างถนนก็เห็นเหมือนคนนอนอยู่จึงถามเพื่อนว่า

‘เฮ้ย! นั่นใช่คนรึเปล่าวะ ที่นอนอยู่ตรงนั้นน่ะ’ พลางชี้นิ้วให้เพื่อนมองตามด้วย

ชลธรมองตามนิ้วชี้ของเพื่อนแล้วก็เห็นเหมือนกับที่เพื่อนบอก

‘เออ จริงด้วย แต่เอ๊ะ ใครมันจะมานอนข้างถนนตอนค่ำๆ มืดๆ แบบนี้วะ เป็นผีรึเปล่า’

‘ผีบ้าผีบออะไรของแกวะไอ้ชล แกดูนั่นสิ มีรถจอดอยู่ตรงนั้นด้วย แกจะบอกว่าผีขับรถเป็นงั้นสิ’

‘บ้า! ผีที่ไหนขับรถเป็น มีแต่ผีในละครเท่านั้นแหละโว้ย’

‘งั้นเดี๋ยวเราลงไปดูเขาสักหน่อย เผื่อเขามีอะไรให้เราช่วย’

ชลธรพยักหน้า และนั่นเองที่ทำให้ตะวันฉายตัดสินใจจอดรถแล้วลงไปดูคนที่นอนอยู่ข้างถนน

เมื่อเดินมาตัวของคนที่นอนอยู่ข้างถนนชายหนุ่มทั้งสองคนก็เห็นว่าคนๆ นั้นเป็นผู้หญิง

“เฮ้ย! เป็นผู้หญิงนี่หว่า” ตะวันฉายอุทานอย่างอึ้งๆ ไป

“เออว่ะ เป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วยแฮะ” ชลธรว่า ก่อนจะหันไปมองที่รถเบนซ์หรูคันสีขาวที่จอดอยู่ เมื่อเห็นป้ายทะเบียนเขาก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้มาจากไหน “ผู้หญิงคนนี้เป็นคนกรุงเทพฯ นี่”

“เฮ้ยๆ ไอ้ชลๆ ผู้หญิงคนนี้ถูกทำร้าย แกดูนี่สิ ที่หัวของเธอมีเลือดออกเยอะมาก ฉันว่าเธอต้องถูกตีหัวแน่ๆ เลย” ตะวันฉายเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะของหญิงสาวเยอะมากเขาก็ถึงกับตกใจ

อีกฝ่ายมองเห็นเลือดที่ศีรษะของหญิงสาวก็ตกใจเช่นกัน

“จริงด้วย เลือดออกเยอะเชียว ถ้างั้นเรารีบพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลกันเถอะ”

“แล้วบัตรประชาชนของเธอล่ะ”

“ไปดูที่รถของเธอสิ เผื่อบัตรประชาชนของเธอจะอยู่ที่รถ” ชลธรบอก

ผู้เป็นเพื่อนพยักหน้า

“โอเค เดี๋ยวฉันจะอุ้มผู้หญิงคนนี้ไปขึ้นรถ ส่วนแกไปค้นหาบัตรประชาชนที่รถของเธอ” พูดจบชายหนุ่มก็รีบอุ้มหญิงสาวไปขึ้นรถจิ๊ปของเขาทันที

ส่วนชลธรก็เดินไปที่รถเบนซ์หรูคันสีขาวเพื่อค้นหาบัตรประชาชนของหญิงสาว เขาเปิดประตูรถ ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อกเขาจึงเข้าไปค้นหาประชาชนอย่างเร่งรีบ แต่ค้นหาอย่างไรก็หาไม่เจอ

“เอ๊ะ บัตรประชาชนของเธออยู่ที่ไหนวะ หาจนทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ” ชายหนุ่มนิ่งคิด แล้วก็ตัดสินใจค้นหาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เจออีกอยู่ดี เขาจึงสงสัยว่า “เอ๊ะ หรือว่าไอ้คนที่มันทำร้ายเธอจะเป็นคนเอากระเป๋าของเธอไป แล้วบัตรประชาชนก็อยู่ในนั้น โธ่! แล้วจะทำยังไงดีวะเนี่ย” เขาคิดหนักเลยทีเดียว

ชลธรจะก้าวขาลงจากรถ แต่ต้องชะงักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ขับรถของเธอไปด้วยดีกว่า เอาไปจอดไว้ให้เธอที่โรงพยาบาล เผื่อเธอฟื้นขึ้นมาจะได้ขับรถกลับบ้าน” คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปดึงประตูรถปิด ก่อนจะกดสตาร์ทรถแต่ดันสตาร์ทไม่ติด “อ้าว! เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย ทำไมถึงสตาร์ทไม่ติด ลองสตาร์ทดูอีกครั้งดีกว่า”

เขากำลังจะกดสตาร์ทรถดูอีกครั้งแต่ตะวันฉายก็เดินมาตามเสียก่อน อีกฝ่ายเคาะกระจกเรียก

“ไอ้ชล แกค้นหาบัตรประชาชนอะไรนานจังวะ”

ชลธรจึงเปิดประตูแล้วบอกว่า

“ฉันค้นหาบัตรประชาชนจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เจอ ฉันก็เลยสงสัยว่าไอ้คนที่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นจะต้องเอากระเป๋าของเธอไปแน่ๆ แล้วบัตรประชาชนของเธอก็จะต้องอยู่ในนั้นด้วย”

“หาบัตรประชาชนไม่เจอก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ฉันว่าเรารีบพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่า อยู่นานกว่านี้เธออาจไม่รอด”

“โอเค ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ เอ้อ ฉันว่าจะเอารถของเธอไปด้วย แต่...แต่รถของเธอสตาร์ทไม่ติด”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะโทร. ให้ช่างที่อู่ในตัวเมืองมาลากรถของเธอไปซ่อม” ตะวันฉายบอก

อีกฝ่ายพยักหน้า

“โอเค ไปๆ เรารีบพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลกันเถอะ” ชายหนุ่มก้าวลงจากรถแล้วปิดประตู

แล้วสองหนุ่มก็เดินไปขึ้นจิ๊ป จากนั้นตะวันฉายก็สตาร์ทรถขับออกไปทันที ระหว่างขับรถชายหนุ่มก็หันไปมองผู้หญิงที่อยู่นอนหมดสติอยู่ตรงเบาะหลังเป็นระยะๆ เขามีความสงสัยในตัวผู้หญิงคนนี้

“เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาถูกทำร้ายอยู่แถวนี้ เอ๊ะ หรือว่าเธอจะมาเที่ยวที่นี่แต่ดันถูกดักปล้น เธอไม่ยอมให้กระเป๋าจึงถูกทำร้ายจนเจ็บหนัก” ชายหนุ่มก็ได้แต่เดาไปสุ่มสี่สุ่มห้า โดยที่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่

ชลธรพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน

“ใช่ ฉันเองก็คิดเหมือนแก ฉันว่าผู้หญิงคนนี้ต้องถูกดักปล้น พอเธอไม่ยอมจึงถูกคนร้ายทำร้ายจนเจ็บหนักอย่างที่เห็น ไม่รู้ว่าสมองของเธอจะได้รับการกระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหน แล้วความจำของเธอ...”

“อย่าเพิ่งเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย เมื่อเธอถึงมือหมอเดี๋ยวเราก็รู้เองแหละ”

“อืม” เขาพยักหน้า

จากนั้นตะวันฉายก็ตั้งใจขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลใกล้ๆ ส่งผู้หญิงที่กำลังบาดเจ็บให้ถึงมือหมอ ขณะขับรถสมองของชายหนุ่มก็ได้แต่คิดไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับผู้หญิงที่นอนสลบอยู่ตรงเบาะหลัง เขามีความสงสัยมากมาย เขาก็ได้แต่คิดอยู่คนเดียวเท่านั้น คิดจนตลอดทางไปโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.