บทที่14 ระยะปลอดภัย
“จะยืนอยู่อีกนานไหม..ไอรดา” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกสติเด็กสาวที่ยืนทำหน้างงอยู่ ร่างบางสมส่วนดูเป็นผู้ใหญ่ถึงจะอยู่ในชุดนักศึกษา ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ริมฝีปากบางเคลือบด้วยลิปสติกสีส้มอมชมพู แก้มเนียนถูกปัดด้วยบรัชออนสีพีช ผมสีน้ำตาลเข้มที่ถูกดัดเป็นลอนและจัดทรงเข้ากับรูปหน้า รองเท้าส้นสูงขนาด5นิ้วโชว์เท้าเรียวเล็กเสริมลุคให้ดูเฉี่ยวและสะดุดสายตาคนมอง หนึ่งในนั้นก็รวมชายหนุ่มตรงหน้าด้วย
“ที่นี่บริษัทคุณหมอหรอกเหรอคะ” คำถามที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่สมองซีกซ้ายก็สั่งการให้เธอถามคำถามนั้นออกไป
“คราวหลังควรศึกษาประวัติเจ้าของบริษัทที่จะเข้าทำงานบ้างนะ”
“ค่ะ ขอโทษค่ะ” เสียงกระเง้ากระงอดตอบกลับ ใบหน้าง้ำงอก้มลงมองพื้น
“นั่นโต๊ะทำงานของคุณ ต่อไปเรียกผมว่ากองทัพอยู่ที่นี่ผมไม่ใช่หมอ” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังโต๊ะทำงานตัวใหม่ที่กองทัพสั่งเอกเลขาคนสนิทจัดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน รวมถึงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องเล็กและไอแพดสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดที่วางอยู่บนโต๊ะด้วย
“หนูต้องฝึกงานที่ห้องนี้เหรอคะ” รดาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้และเก็บกระเป๋าสะพายไว้ในลิ้นชักข้างโต๊ะให้เรียบร้อย
“ไม่อยากฝึกที่นี่” คิ้วดกดำเลิ่กขึ้นเชิงเป็นคำถามสีหน้าเรียบนิ่งขึ้นเล็กน้อย
“เปล่าค่ะ หนูแค่คิดว่าจะได้ฝึกงานแผนกการตลาด..แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะถ้าฝึกงานที่ห้องนี้”
“ทำทุกอย่างที่ผมสั่ง” คิ้วเรียวเล็กขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตจ้องหน้าคนตรงหน้าเขม็งอย่างไม่เข้าใจตอบ
“ผู้ช่วยเลขา ผมให้คุณฝึกงานตำแหน่งผู้ช่วยเลขา เอกจะสอนงานคุณทุกอย่าง ย้ำว่าทุกอย่างที่เอกทำหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าผมทำอะไรคุณต้องรู้และตามผมไปทุกที่ที่ผมไป..เพราะอนาคตข้างหน้าคุณต้องทำงานแทนเอก” กองทัพเน้นเสียงประโยคในช่วงท้าย
“ผู้ช่วยเลขา เด็กฝึกงานฝึกตำแหน่งนี้ได้ด้วยเหรอคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ผมเป็นเจ้าของบริษัทและผมก็พิจารณาคุณสมบัติคุณแล้ว คุณสามารถพูดได้3ภาษา ผลการเรียนได้เกรด Aทุกวิชา และที่สำคัญวันนั้นคุณทำข้อสอบของผมได้คะแนนสูงสุด ตรงไหนที่บอกคุณไม่มีความสามารถ” รดานั่งนิ่งในหัวตอนนี้ตีกันไปหมดไม่รู้ว่าจะดีใจหรือตกใจที่ได้มาฝึกงานตำแหน่งสำคัญแถมเป็นผู้ช่วยเลขาของคุณหมอหนุ่มนี่สิ
“แล้วทำไมโต๊ะหนูอยู่ข้างในล่ะคะ ปกติโต๊ะของเลขาต้องอยู่หน้าห้องไม่ใช่เหรอคะ”
“หน้าห้องไม่มีพื้นที่” เสียงทุ้มตอบออกไปข้างๆ คูๆ ปั้นหน้าเรียบนิ่งยกแก้วกาแฟที่เย็นเฉียบขึ้นดื่มจนหมดแก้วทั้งที่ปกติไม่ชอบดื่มกาแฟเย็น รดาแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะกลัวจะโดนดุ มือเล็กจึงเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กขึ้นและกดเปิดเครื่อง
“เอกสารรายละเอียดงานทั้งหมดของบริษัทเอกเซฟลงเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว อ่านและทำความเข้าใจถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม” โฟลเดอร์ขนาดไฟล์หลาย MB ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ นิ้วเรียวเล็กคลิกเมาส์เพื่อเปิดโฟลเดอร์ เมื่อกดเข้าไปก็เจอกับ pdf.file หลายสิบไฟล์ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญของบริษัททั้งนั้น รดานั่งอ่านและศึกษาข้อมูลอย่างตั้งใจและจดแลคเชอร์ลงไอแพดตรงข้อมูลจุดที่สำคัญเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง
สายตาคมเข้มของชายหนุ่มเจ้าของห้อง เหลือบมองเด็กสาวเป็นระยะสลับกับอ่านเอกสารในมือที่บางแผ่นต้องอ่านซ้ำถึงสามรอบเพราะไม่มีสมาธิเนื่องจากในห้องมีสิ่งที่รบกวนสมาธิค่อนข้างมากพอสมควร
“คุณกองทัพคะ แล้วถ้ารถลูกค้ามีปัญหาเราสามารถซ่อมให้ลูกค้าที่เมืองไทยได้เลยไหมคะหรือต้องส่งไปบริษัทผู้ผลิตที่ต่างประเทศ” รดาละสายตาจากหน้าจอตรงหน้า เอี้ยวหมุนตัวไปทางชายหนุ่มเมื่ออ่านเอกสารแผนกช่างเซอร์วิสแล้วมีคำถามสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป
“รถที่เราขายให้ลูกค้าทุกคันเราสามารถซ่อมและดูแลให้ลูกค้าได้ที่นี่เพราะบริษัทของเรามีทีมวิศวกรที่มีความรู้ความชำนาญเรื่องเครื่องยนต์ของรถแต่ละยี่ห้อ บริษัทของเราได้ส่งทีมวิศวกรไปเรียนระบบเครื่องยนต์จากผู้ผลิตของรถทุกรุ่นก่อนที่จะนำเข้ามาจำหน่ายที่ประเทศไทยและทุกสาขาทั่วเอเชีย” เมื่อได้ฟังคำตอบของกองทัพรดาก็อดชื่นชมไม่ได้ บริษัทมีการจัดการและวางแผนธุรกิจอย่างดีเยี่ยม ซึ่งต่างจากหลายๆ ที่ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถหรูหลายรุ่นรวมถึงซูเปอร์คาร์ระดับแนวหน้าของโลกที่นำเข้ามาจำหน่ายแต่ไม่มีเซอร์วิสให้ลูกค้า เมื่อไหร่ที่รถเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายหรือเครื่องยนต์มีปัญหาก็ต้องส่งรถไปเช็กและซ่อมที่ศูนย์ผู้ผลิตที่ต่างประเทศซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควร เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบริษัทของชายหนุ่มถึงเติบโตได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่พึ่งเปิดดำเนินกิจการได้ไม่กี่ปี
12:00 น.
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อนาฬิกาบนฝาผนังเข็มสั้นและเข็มยาวชี้ที่เลข12
“อาหารกลางวันครับนาย” เอกเลขาคนสนิทของชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับแม่บ้านถือถาดอาหารในมือวางลงโต๊ะกระจกหน้าโซฟารับแขกที่วันนี้เปลี่ยนเป็นโต๊ะอาหารกลางวัน
“ขอบใจ งานที่โรงพยาบาลเรียบร้อยใช่ไหม” วันนี้ตามตารางงานแล้วกองทัพต้องเข้าไปทำงานที่โรงพยาบาล แต่ด้วยความที่วันนี้รดามาฝึกงานที่นี่วันแรกเขาจึงต้องอยู่ต้อนรับเด็กสาวด้วยตัวเองทั้งที่ความเป็นจริงให้เอกอยู่ทำงานที่นี่แทนแล้วตัวเขาเข้าไปเคลียร์งานที่โรงพยาบาลเองก็ได้ แต่กองทัพก็เลือกที่จะอยู่ทำงานที่นี่มากกว่าให้เลขาอยู่
“เรียบร้อยครับ ใบเสนอราคาของบริษัทผู้ผลิตยารายใหม่ผมส่งให้คุณกองทัพทางอีเมลแล้วนะครับ”
เมื่อแม่บ้านจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับออกไป ภายในห้องเหลือเพียงชายหนุ่มเจ้าของห้องและเด็กฝึกงานเพียงสองคนแค่นั้น
“จะไปไหน” เท้าเล็กหยุดชะงักทันทีเมื่อเสียงเรียบตะโกนถามขณะที่เท้าเล็กกำลังเดินมุ่งหน้าผ่านโซฟาไปทางประตูหน้าห้อง
“ไปทานข้าวไงคะ ตอนนี้เที่ยงแล้วไม่ใช่เหรอคะ” รดาเอี้ยวตัวหันกลับมาตอบคำถามชายหนุ่มเล็กน้อย
“ข้าวอยู่บนโต๊ะไม่พอกินหรือไง”
“นั่นมันข้าวกลางวันของคุณไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมเป็นคนปกติทั่วไป และคนปกติเขาทานข้าวแค่มื้อละจาน” เสียงทุ้มเน้นตรงประโยคหลังพร้อมกับวางปากกาในมือลงเมื่อตวัดเซ็นเอกสารแผ่นสุดท้ายเสร็จ
ครืด..เสียงเลื่อนเก้าอี้เพื่อลุกจากโต๊ะเพื่อจะไปทานข้าวเพราะตอนนี้ได้เวลาพักเที่ยงแล้ว ด้วยส่วนสูง190เซนติเมตรกองทัพเดินไม่ถึงสิบก้าวก็มาถึงโต๊ะอาหารที่แม่บ้านจัดไว้
“จะยืนมองอีกนานไหม แค่มองไม่ได้ทำให้อิ่มไปล้างมือแล้วมาทานข้าว” ขายาวย่างสามก้าวก็มาถึงคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กออกแรงดึงให้เดินตามเข้าไปในห้องอีกห้องด้านหลังที่มีประตูเชื่อมถึงกันโดยมีตู้โชว์วางกั้นอยู่คนอื่นอาจไม่เห็นถ้าไม่ได้เดินสำรวจอย่างละเอียด
“อ๊ะ! ตรงนี้มีห้องด้วยเหรอคะ หนูไม่สังเกตเห็น” เมื่อก้าวผ่านบานประตูเข้ามาภายในก็เจอกับห้องนอนขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าเป็นห้องนอนของชายหนุ่มเจ้าของห้องที่เอาไว้พักเวลาที่ทำงานดึกๆ แล้วไม่อยากกลับไปนอนที่คอนโด
“ห้องน้ำอยู่ตรงโน้น” นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางด้านซ้ายซึ่งมีประตูเชื่อมกันอยู่ ดวงตากลมโตกวาดมองบริเวณรอบๆ ห้องขณะที่กำลังเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือและเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่น่าจะเป็นห้องแต่งตัว และเปิดประตูอีกชั้นเข้าไปก็เจอกับห้องน้ำที่ขนาดใหญ่กว่าห้องพักที่เธอเช่าอยู่ด้วยซ้ำ
“นี่มันคอนโดชัดๆ คนรวยเขาสามารถสร้างอะไรก็ได้ตามที่ต้องการเนาะ” รดาบ่นพึมพำกับตัวเองในกระจกบานใหญ่ ใช้เวลาเกือบ10นาทีร่างบางก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
“อ๊ะ! คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” เมื่อเปิดประตูออกมาก็ชนเข้ากับของแข็งบางอย่างจนเกือบเสียหลักล้ม ยังดีที่มีแขนแกร่งของชายหนุ่มเจ้าของห้องคว้าไว้ทัน
กลิ่นหอมจากแป้งเด็กบวกกับกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะตัวของเด็กสาวกระทบจมูกให้ได้กลิ่นชัดเจนเมื่อทั้งสองอยู่ในระยะประชิด จมูกโด่งเป็นสันธรรมชาติเผลอสูดดมเข้าเต็มปอด เหมือนรีบตักตวงความหอมเมื่อได้โอกาส กลิ่นชมพูอ่อนๆ จากเรือนผมที่สะบัดตามแรงโน้มถ่วงเป็นกลิ่นที่กองทัพตามหามาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่เจอสักที จนจะเหมาแชมพูมาทั้งห้างแล้ว
“ก็มาดูคนแถวนี้เห็นหายเข้ามานาน..ถึงว่ามัวแต่ซนอะไรอยู่”
“หนูเข้าห้องน้ำด้วยค่ะเลยใช้เวลานาน..แล้วคุณจะปล่อยหนูได้ยังคะ” มือทั้งสองข้างยกขึ้นดันตรงอกแกร่งขณะที่แขนแกร่งด้านขวายังกอดเอวบางไว้หลวมๆ ไม่ยอมปล่อยทั้งที่รดาก็สามารถทรงตัวยืนเองได้แล้ว
“ใช้แชมพูยี่ห้ออะไร”
“คุณถามทำไมคะ ผมฉันเหม็นเหรอคะฉันพึ่งสระมาเมื่อเช้าเองนะคะ” มือเล็กดึงปลายผมมาสูดดมกลิ่นอย่างลนลาน
“เปล่ามันหอมดี..ผมชอบ” เมื่อพูดจบกองทัพก็เดินหันหลังกลับออกจากห้องทันที เพราะกลัวใจตัวเองจะทนไม่ไหวเมื่ออยู่ใกล้เด็กสาวเพราะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะควบคุมยากขึ้นทุกวัน จึงเลือกที่จะอยู่ห่างๆ ในระยะที่ปลอดภัย
อาหารกลางวันมื้อแรกในฐานะนักศึกษาฝึกงานบริษัท GT เป็นสเต๊กเนื้อราคาแพงที่สั่งมาจากร้านดัง ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและซีถูกปอกและจัดใส่จานอย่างเป็นระเบียบน่ารับประทาน
“ทานให้หมด ผอมจนลมจะพัดปลิวอยู่แล้ว” เสียงทุ้มดุเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อรดาวางมีดและส้อมในมือลง
“หนูอิ่มแล้วค่ะ”
“ทางร้านเขาหั่นชิ้นเนื้อมาพอดีสำหรับหนึ่งคนทาน เพราะฉะนั้นอีกครึ่งชิ้นที่เหลือก็ควรทานให้หมด” คำอธิบายปนคำสั่งกลายๆ มือเล็กจำต้องหยิบมีดและส้อมขึ้นมาหั่นชิ้นเนื้ออีกครั้งและเขี่ยไปมาอยู่นาน
“ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืน” เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากเจ้าภาพมื้อกลางวันมือเล็กก็วางมีดและส้อมลงทันที โดยไม่สนใจว่าอาหารมื้อนี้จะราคาแพงสักแค่ไหนหรือจะเป็นของโปรดเธอหรือไม่เพราะฝืนทานต่อไปไม่ไหวจริงๆ ถ้าขืนยัดเนื้อเข้าไปอีกคำมีหวังเธอต้องอาเจียนออกมาทางเดิมแน่ๆ
ใบหน้าพะอืดพะอมก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มร่าเมื่อหยิบสตอเบอรี่ลูกโตเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข เนื้อวากิลราคาแพงที่นำเข้าจากญี่ปุ่นต้องโดนเมินอย่างไม่เห็นคุณค่าความอร่อยเพราะเด็กแถวนี้เห็นผลไม้ธรรมดาสำคัญกว่า
“ค่อยๆ ทานไม่เปรี้ยวหรือไงกินคนเดียวเป็นสิบลูกแล้ว” ผลไม้วิตามินเอและซีสูงที่วางเรียงอยู่จนเต็มจานในตอนแรกบัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ลูกด้วยฝีมือของรดา
“ไม่เปรี้ยวค่ะ พันธุ์นี้ปลูกที่เกาหลีอากาศที่นั่นหนาวรสชาติเลยหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย แต่มันก็แพงมากเลยนะคะจานนี้คงราคาเกือบพัน” เมื่อท้องเริ่มอิ่มสมองก็เริ่มทำงานจึงได้สติว่าของที่เธอทานลงไปก่อนหน้านั้นราคาเท่าไหร่ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที
“แค่ไม่กี่บาท ตัวคุณแค่นี้ผมเลี้ยงได้สบาย”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 645
แสดงความคิดเห็น