ตอนที่ 64 ประชันอักษร – คู่ปทุมมาลย์หนึ่งก้านอุทุม (2)
ตอนที่ 64 ประชันอักษร – คู่ปทุมมาลย์หนึ่งก้านอุทุม (2)
เวลาผ่านไปทีละขณะๆ ทั่วสนามประลองตกอยู่ในความเงียบแปลกประหลาด ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงเพราะเกรงจะทำให้เสียสมาธิ ฝูงชนยิ่งมายิ่งคาดหวังกับผลงานเหนือล้ำไม่ธรรมดา
ในเวลาเพียงนาที เขาจะวาดได้แค่ไหน? เริ่มแรกผู้คนเยาะหยันในความอวดดี แต่หลายเหตุการณ์ผ่านไป พวกเขาจึงเริ่มตระหนักว่าเขามีความสามารถพอที่จะอหังการ เวลานี้เขาเหี้ยมหาญกระทั่งจะวาดให้เสร็จในหนึ่งนาที บางทีเขาอาจทำได้จริงๆ!
หลินเสี่ยวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวจรัสฟ้า ยามนี้อับแสงจนแทบไม่มีผู้ใดชายตามอง
เย่หวูเฉินคำนวณนับอยู่เงียบๆ ตอนที่มายังโลกนี้ ทักษะการวาดของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเสี่ยว ตอนนั้นเขามีพลังเพียงขั้นที่หนึ่งซึ่งยังนับว่าชักช้า ตอนนี้เขาบรรลุขั้นที่สอง หากแต่เขาก็ไม่ได้ใช้ออกเต็มความเร็ว เพราะแค่นี้ก็เพียงพอทำให้โลกตะลึง และทำผู้คนให้โง่งมงาย
แล้วก็เหมือนที่คาด เมื่อครบเวลาเขาก็หยุดพู่กันในมือ แทบจะพร้อมกับที่ผู้ติดตามชุดเหลืองที่ถือเครื่องนับเวลาประหลาดอยู่ในมือตะโกนขึ้นมา “หมดเวลาหนึ่งในสี่ชั่วโมง”
เสร็จลงตรงเวลาเหมาะเจาะ เผยให้เห็นสัมผัสรับรู้เวลาอันน่าสะท้าน มีไม่กี่คนในโลกที่จะมีความสามารถเช่นนี้
เย่หวูเฉินโยนอุปกรณ์ทุกอย่างออกจากมือ ก้าวออกไปยืนข้างๆเผยภาพวาดสมบูรณ์แก่ผู้ชม สิ่งที่ตามมาไม่ใช่เสียงอุทานอย่างชื่นชม แต่เป็นความเงียบสนิท ผู้คนต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน
ทุกคนสามารถระบุได้ว่านั่นคือดอกบัว เป็นดอกบัวตูมคู่แฝดสีแดงแกมขาวเห็นเลือนลางหันออกด้านซ้ายและด้านขวา ดอกบัวคู่นั้นยังไม่เบ่งบานทั้งยังไม่โน้มนำพาความรู้สึกสุนทรีย์ เงาสะท้อนเข้มหนากระด้าง หนึ่งก้านดอกและใบปราณีตบรรจงดูเสมือนของจริง ไล่สายตาตามเส้นราวกับเหมือนได้กลิ่นบัวสด ใต้ก้านบัวเป็นผิวน้ำที่แปลกประหลาด เพราะเป็นผิวน้ำที่ไม่ปรากฎเส้นผิว ไม่อาจหยั่งถึงความตื้นลึกอันคลุมเครือ แสงสีเขียวสะท้อนประกายที่ผิวน้ำเป็นเงาร่างดอกบัวคู่ ภาพรวมให้ความรู้สึกเสมือนกับเห็นของจริง
มองผ่านๆภาพนี้ไม่มีความพิเศษอันใด แต่หากมองอย่างพินิจจะเห็นลายเส้นที่ผิดพลาดอยู่เป็นจำนวนมาก
ไม่มีคำใดออกจากปากของหลินเสี่ยว สายตาของเขาติดอยู่ที่ภาพปทุมพรทั้งสอง จากที่เย่หวูเฉินแสดงความมั่นใจในก่อนหน้า เขาไม่เชื่อว่าเย่หวูเฉินจะทำเป็นเรื่องตลก เย่หวูเฉินย่อมซ่อนบางสิ่งอยู่ในภาพนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะมองยังไงก็ไม่อาจเข้าถึงได้เลย เขาไม่สามารถค้นหาความมหัศจรรย์ของภาพนี้ได้ไม่ว่าจะตะแคงมองมุมไหน ทั้งดูแล้วยังห่างไกลจากภาพ ‘สระกระจ่างวารี’ ของเขาก่อนหน้านี้
“ภาพนี้ชื่อว่า ‘คู่ปทุมมาลย์หนึ่งก้านอุทุม’ ข้าวาดจากความคิดที่ผุดขึ้นมา มีภาพชื่อเดียวกับงานชิ้นนี้อยู่มากมาย แต่ในความเห็นของข้า ภาพนี้สมควรนับเป็นหนึ่งในงานชิ้นเยี่ยม” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หลงหยินขมวดคิ้วและมองอยู่เป็นเวลานาน “ขุนนางเหวิน ท่านคิดยังไงกับภาพวาดนี้?”
“เรื่องนี้....” ชายชราผมขาวอายุราว 60 ปี แต่งกายด้วยชุดขุนนางเป็นทางการ เขากล่าวด้วยความเคารพ “บ่าวชราผู้นี้สายตาไม่ค่อยดีนัก และไม่สามารถระบุจุดที่ยอดเยี่ยมของงานชิ้นนี้ได้ จากเท่าที่ข้าเห็น ภาพวาดนี้ไม่ได้ประณีตบรรจงเลย”
การประเมินของเขาทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ค่อยๆผงกศีรษะเห็นด้วย ส่วนคนที่เหลือยังคงพยายามมองหาจุดมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในภาพ จากที่เย่หวูเฉินแสดงความสามารถก่อนหน้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างผลงานอ่อนด้อยกว่าเดิมออกมา นอกจากนั้น ทั้งสีหน้าและท่าทางของเขา ก็ไม่ปรากฎความผิดหวังใดๆในผลงานของตนเอง
“ขุนนางเหอ แล้วความเห็นของท่านล่ะ?”
“ความเห็นของข้าเป็นเช่นเดียวกับขุนนางเหวิน”
“เปรียบเทียบกับภาพของหลินเสี่ยวแล้วเป็นอย่างไร?”
“ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้”
หลงหยินพยักศีรษะแล้วมองที่เย่หวูเฉิน “ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน หวูเฉิน แม้ว่าทักษะฝีมือการวาดของเจ้าอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ แต่ครั้งนี้เจ้ากลับวาดภาพได้ไร้ความประทับใจ ดังนั้นการประลองในรอบนี้...”
“ช้าก่อนฝ่าบาท หวูเฉินมีบางอย่างจะกล่าว” เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมยกมือ
“โอ้? เจ้ามีบางสิ่งจะพูด? หรือว่าจะเป็นความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพวาดนี้?” หลงหยินถามด้วยสีหน้าคาดหวัง หากแต่ดูไม่มีความประหลาดใจอันใด
“หากไม่มีความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ ข้าจะกล้านำเสนอได้เช่นไร” เย่หวูเฉินยิ้มบาง จากนั้นหันไปรอบๆกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “ข้าอยากถามผู้อาวุโส และพี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ว่ามีใครนำสุรามาด้วยบ้าง?”
ผู้คนหันมองหน้ากัน แต่ละคนต่างส่ายศีรษะ ใครมันจะนำสุราเข้ามาในงานแบบนี้? แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนฟ้าลั่นดังขึ้นมา “ข้าเอามา รับไว้สหายน้อย!”
ด้วยเกรงว่าเย่หวูเฉินจะพ่ายแพ้ ฮั่วเจิ้นเทียนดึงถุงสุราจากเอวโยนไปให้เย่หวูเฉิน ฮั่วเจิ้นเทียนรักสุราราวกับชีวิตตน ตลอดชีวิตเขาให้คุณค่ากับสองสิ่ง หนึ่งคือลูกสาว และสองคือสุรา ถุงสุราใบนี้คือของที่ฮั่วฉุ่ยโหรวทำให้เขา ยามใดที่สุราหมดลงเขาจะเติมทันทีและไม่อาจขาดมันได้
เย่หวูเฉินยื่นมือออกจับรับมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับสุรา ผู้อาวุโสฮั่ว สักวันข้าจะเชิญท่านมาดื่มและคุยเปิดอกกัน”
แม้ว่านี่เป็นเพียงการตอบตามมารยาท แต่ฮั่วเจิ้นเทียนรับคำอย่างจริงจังและตะโกน “ประเสริฐ! สหายน้อย เจ้าสมควรรักษาคำพูดของตนเองให้ดี! หากเจ้าไม่กล้าดื่มเปิดอกกับข้า เช่นนั้นเจ้าไม่ใช่บุรุษ! อีกอย่าง จะอาวุโสหรือไม่ข้าไม่อยากได้ยิน เจ้าจงเรียกข้าว่า เฒ่าฮั่ว!”
“เช่นนั้นก็...ตกลงตามนั้น!” เย่หวูเฉินกล่าวตอบโดยไม่สนใจคำบอกในส่วนหลัง ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าฮั่วเจิ้นเทียนแขวนบางอย่างอยู่ที่เอว และเชื่อว่าภายในนั้นต้องมีสุรา
หากคนที่ไม่รู้จักฮั่วเจิ้นเทียนได้ยินบทสนทนานี้ พวกเขาย่อมต้องประหลาดใจ ก่อนหน้านี้ฮั่วเจิ้นเทียนคิดสั่งสอนเย่หวูเฉินในฐานทำร้ายหลินเสี่ยว เขากลับถูกล่อลวงใช้วิธี ‘น่ารังเกียจ’ ให้ยอมรับสามเงื่อนไข ไม่เพียงเขาไม่โกรธแต่เขายังหัวเราะกับความพ่ายแพ้ ตอนนี้ฟังจากน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าเขากำลังตื่นเต้น ราวกับว่าเขาอยากสาบานเป็นพี่น้องกับเย่หวูเฉินให้ได้เสียในตอนนี้
หรือว่าบางทีฮั่วเจิ้นเทียนอาจมีนิสัยประหลาดชอบถูกหลอกลวง?
“ทุกท่านโปรดมองดูให้ดี”
เย่หวูเฉินดึงฝาจุกออก กลิ่นสุราฟุ้งกระจายไปทั่วสถานที่ เขายกศีรษะซดสุราเข้าไปคำใหญ่แล้วยืนเบื้องหน้าภาพ จากนั้นพ่นสุราออกไปจนหมดคำ ละอองสุราฟุ้งกระจายไปทั่วแผ่นภาพ เขายกศีรษะแล้วซดสุราอีกรอบ ทำซ้ำแบบเดียวกันสามครั้ง จากนั้นก็ก้าวออกไปยืนข้างๆภาพ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่มีผู้ใดเข้าใจการกระทำอันพิลึกสุดแสน ผู้คนค่อยๆเคลื่อนสายตามองมาที่ภาพ จากนั้นหลายคนเริ่มอ้าปากกว้างคางแทบร่วงถึงพื้นด้วยความตกใจ หลายคนทำของในมือหล่นโดยไม่รู้ตัว แว่นของนักศึกษาชราคนหนึ่งหล่นลงพื้นเสียงดัง
ไม่เพียงผู้ชมที่ตกตะลึง แม้แต่หลินเสี่ยวที่มักสงบยังจ้องตาแทบถลน รวมถึงหลงหยินที่มีสีหน้าตะลึงค้างชนิดที่ยากจะเห็นได้ในรอบหลายปี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 297
แสดงความคิดเห็น