Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 21
Chapter 21: ท่วงทำนองที่เริ่มบรรเลง การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
การแสดงกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า…
แต่สิ่งสำคัญที่สุดอย่างไมโครโฟน และเครื่องประดับศีรษะของผู้แสดงหายไป ซึ่งคนโชคร้ายผู้นั้นก็คือฉัน
“แน่ใจนะว่าตอนที่แต่งตัวเสร็จไม่ได้เอาไปวางลืมไว้ที่ไหน” พี่เชอร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ดูท่าทางเจ้าตัวจะเครียดอยู่ไม่น้อย เพราะหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของฉันเธอก็รีบวิ่งตรงมาที่โต๊ะวางของทันที รวมทั้งพาเฟ่ต์ที่เดินตามมาติดๆ
“แน่ใจค่ะพี่เชอร์ เพราะตอนที่หนูได้ไมค์มาก็เอามารวมไว้ในนี้” ชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า “แล้วก็ที่คาดผมด้วย คิดว่าพอแต่งหน้าเสร็จแล้วจะมาหยิบไปทีเดียวเลย แต่พอกลับมาอีกทีมันก็ไม่อยู่ในนี้แล้วจริงๆ ค่ะ”
“แล้วพาเฟ่ต์ล่ะ เห็นอะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะคะ” พาเฟ่ต์ตอบ ก่อนขยายความว่า “ฉันก็ยืนคุยอยู่กับหัวหน้า ซินนามอนก็อยู่ด้วย คนที่เอาไปไม่มีทางเป็นพวกเราแน่นอนค่ะ”
“ให้ตายสิ ถ้าจะเอาแค่ไมค์กับที่คาดผมไป ทำไมไม่หยิบไปทั้งกระเป๋าเลยก็ไม่รู้” พี่เชอร์พึมพำ ก่อนจะไล่ถามเพื่อนชมรมแฟชั่นที่มาช่วยแต่งหน้าให้พวกเราก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก เพราะทุกคนก็ยุ่งอยู่กับเครื่องประดับและใบหน้าของคนแสดงว่าดูดีแล้วหรือยัง ทำให้ไม่มีใครสังเกตคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนี้เลย
“พวกชมรมขับร้องน่ะ แต่งหน้าแต่งตัวกันเรียบร้อยหรือยัง เหลือเวลาไม่ถึง 5 นาทีแล้วนะ!” เสียงตะโกนของคุณครูคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นทำให้ทุกคนที่กำลังยืนหน้าเครียดสะดุ้งโหยงไปตามๆ กัน ก่อนที่รุ่นพี่หัวหน้าชมรมจะร้องบอกว่าขอเวลาอีกเล็กน้อยแล้วจะรีบตามไป
“ฉันถามหน่อยสิ นอกจากที่คาดผมที่พี่วาฟเฟิลให้ยืมแล้วเธอยังพกที่คาดผมอันอื่นติดกระเป๋าไว้บ้างหรือเปล่า?” พาเฟ่ต์ถาม ทำให้สีหน้าของฉันที่เครียดอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงไปทันที
“ฉันไม่ได้พกไว้เลย” ตอบไปตามความจริง เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์ของหายแบบนี้ แล้วจิตใจก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีกเมื่อระลึกได้ว่าที่คาดผมอันนั้นไม่ใช่ของของตัวเอง
“พี่ถามคนอื่นให้แล้วนะว่ามีที่คาดผมสวยๆ ให้ยืมบ้างหรือเปล่า แต่พวกนั้นบอกว่าถ้าจะเอาต้องวิ่งไปหยิบที่ห้องชมรม แล้วถ้าดูเวลาก็คงจะไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นซินนามอนคงต้องแสดงทั้งๆ ที่ไม่มีที่คาดผมแบบนั้นแล้วแหละจ้ะ” รุ่นพี่อีกคนที่ได้แสดงด้วยเดินมาหาฉันพร้อมกับข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก การแสดงครั้งนี้จะล่มเพราะฉันจริงๆ น่ะเหรอ?
“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ถ้าฉันรอบคอบกว่านี้สักหน่อย เหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” ฉันพูดกับทุกคนด้วยความสำนึกผิด จริงสินะ… ถ้าฉันสวมที่คาดผมให้เสร็จแล้วไปแต่งหน้า หรือฝากไมโครโฟนไว้กับใครสักคนก็คงดีกว่าเก็บใส่กระเป๋าไว้เอง แทนที่ทุกคนแต่งหน้ากันเสร็จจะได้ไปสแตนด์บายที่สนามได้เลยกลับทำให้ทุกอย่างช้าลงไปอีก สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ก่อนที่การแสดงจะเริ่ม
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าไมโครโฟนหายก็คือ เครื่องประดับอย่างที่คาดผมนั่นเอง เพราะเป็นของที่ยืมมา แล้วถ้าเจ้าของที่แท้จริงมารู้เข้าว่าในเวลาเพียง 2 วันคนที่ตัวเองไว้ใจให้ยืมไม่รักษาของให้ดีจะรู้สึกอย่างไรกันนะ…
ระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“อ้าว ยังไม่เสร็จกันอีกเหรอ?” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ฉันมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้รู้สึกหน้าชาวาบ
“พี่วาฟเฟิล/วาฟเฟิล!” พาเฟ่ต์และเพื่อนชมรมแฟชั่นต่างเอ่ยชื่อผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง ตรงข้ามกับฉันที่สติแทบจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว
เจ้าของที่คาดผมตัวจริงยืนอยู่ตรงหน้า…
เพิ่งทำของเขาหายไปหมาดๆ แล้วจะมีอะไรมาแก้ตัวได้อีก นอกจากนึกถึงความสะเพร่าของตัวเอง…
“เอ่อ วาฟเฟิล คือ…” ฉันกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากเย็น ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงเบา
“ที่คาดผมของเธอ…” ‘ฉันทำหายไปแล้ว’ คำพูดประโยคสุดท้ายยังคงอยู่ในใจไม่ได้เปล่งออกมา รอยยิ้มของวาฟเฟิลเมื่อครู่หายวับไป เหลือเพียงใบหน้าจริงจัง
ฉันมองใบหน้าหวานนั้นนิ่ง ดวงตาสีเขียวมรกตเย็นชาสบประสานกับดวงตาไหวระริกของฉัน ดวงตาแบบนั้นทำให้นึกถึงใครอีกคนที่กำลังยืนประเมินสถานการณ์อยู่ข้างหลัง…
พอวาฟเฟิลทำหน้านิ่งสงบแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนมีเงาของน้องสาวฝาแฝดของเธอซ้อนทับอยู่ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น…
เธอล้วงมือลงในกระเป๋าที่ถือมาด้วย ก่อนจะควานหาอะไรบางอย่างในนั้นช้าๆ
ฉันมองภาพนั้นเหมือนถูกสาป นึกในใจว่าคงโดนโกรธแน่แล้ว เมื่อทำของของเขาหายสิ่งที่ได้กลับมาก็คงจะไม่มีอะไรมากนอกจากความไม่พอใจของผู้ให้ยืม สีหน้ากับสายตาของเธอคือเครื่องยืนยันได้อย่างดี ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง
บางที วาฟเฟิลคงโกรธมากจนอาจจะไม่คุยกับฉันอีกต่อไปแล้วก็ได้…
ความคิดของฉันสะดุดลงเมื่อมือบางหยิบของในกระเป๋าออกมา ก่อนริมฝีปากบางจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“กำลังตามหาอยู่ใช่หรือเปล่า?”
สายตาของฉันมองของในมือเธออย่างไม่อยากเชื่อ ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหยุดการกระทำทุกอย่างและหันมามองพวกเราเช่นกัน
มันคือไมโครโฟนกับที่คาดผม… ที่คาดผมลายดอกไม้ของวาฟเฟิล
“มะ… ไม่จริงใช่ไหม!” ฉันตะโกนออกมาเสียงดัง จิตใจที่เคยห่อเหี่ยวเมื่อครู่กลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง
“ทำไมถึงไปอยู่กับพี่ได้ล่ะ?” พาเฟ่ต์ที่เงียบอยู่นานถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ ฉันมองของในมือของวาฟเฟิลอย่างพินิจ ที่คาดผมลายดอกไม้ที่คุ้นตา กับไมโครโฟนที่คุณครูเพิ่งให้ฉันไปหมาดๆ นอนนิ่งอยู่ในมือของเพื่อนสาวผมเขียวเบื้องหน้าจริงๆ
“อ๋อ พี่เป็นคนหยิบออกไปเองแหละ” เธอตอบน้องสาวหน้าตาเฉย ฉันมองหน้าเธออย่างฉงน ใบหน้าที่เคยจริงจังกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง เหมือนท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มเพราะเมฆฝนแล้วกลับมาสว่างสดใสยังไงยังงั้น “ก็จะเช็คความเรียบร้อยให้น่ะ ทุกคนตกใจอะไรกันเหรอ?”
ฉันเปลี่ยนสีหน้าไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วาฟเฟิลยื่นที่คาดผมใส่มือฉันก่อนจะบอกว่าเช็คไมโครโฟนให้แล้ว ใช้ได้ปกติดี และให้ฉันกับเพื่อนๆ ที่เหลือรีบไปที่สนามทันที
“นี่มันตลกร้ายก่อนแสดงชัดๆ” พี่เชอร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าโล่งอก “น้องซิน รีบสวมที่คาดผมแล้วรีบไปที่สนามด่วนเลย ไม่ทันแล้ว”
ฉันสวมที่คาดผมลงบนศีรษะ ขาก็รีบก้าวฉับๆ ออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคนอื่นๆ ที่เหลือ ความรู้สึกกังวลกลัวว่าการแสดงจะล่มเมื่อครู่หายไปแล้ว เหลือแต่ความพร้อมในการแสดงที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เมื่อเดินเข้าไปในสนามก็เห็นว่ารุ่นพี่ ม.6 เริ่มทยอยเดินลงมาจากหอประชุมกันแล้ว พวกเราที่ต้องร้องเพลงพากันเดินขึ้นไปบนเวทีที่จัดเตรียมไว้ จัดแถวเรียงตามลำดับเหมือนที่เคยซ้อมกันมา คนร้องยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง คนที่แสดงละครก็ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งแต่ผู้ชมสามารถเห็นทุกคนได้ชัดเจน
เวลาผ่านไปจนรุ่นพี่ ม.6 ทุกห้องเดินลงมาและจัดแถวกันเรียบร้อยแล้ว พิธีกรกล่าวเปิดการแสดง ทุกคนในสนามปรบมือกันกึกก้องทำให้การแสดงครั้งนี้ดูน่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก
เสียงกล่าวอารัมภบทเริ่มเรื่องจบลงพร้อมกับเสียงเปียโนดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเครื่องดนตรีอื่นๆ ฉันนึกถึงเนื้อและบรรยากาศสนุกสนานของเพลง ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงดนตรี กระชับไมโครโฟนในมือให้มั่นก่อนจะเปล่งเสียงร้องออกมา หูก็คอยเงี่ยฟังเสียงของคนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย เวลาผ่านไปเพลงที่ร้องก็จบลง ส่งไม้ต่อให้กับนักแสดงที่ยืนอยู่อีกฝั่งแสดงกันต่อไป
ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ คนที่อยู่ในสนามต่างจ้องมาที่เวที บ้างก็มองพวกเรา บ้างก็มองคนแสดง และก็มีบ้างที่นั่งคุยเล่นกันไม่ได้สนใจการแสดงบนเวทีเท่าไร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อการแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดไคลแม็กซ์ เพลงที่พวกเราต้องร้องก็เริ่มขึ้น ฉันพยายามตั้งสติให้จดจ่อกับเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ พยายามไม่คิดเรื่องอื่นนอกจากเนื้อร้องในท่อนของตัวเองซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ยากที่สุดเพราะต้องร้องออกมาให้ได้อารมณ์และต้องร้องประสานเสียงกันทั้งเพลง การรับส่งของแต่ละคนต้องแม่นยำมากกว่าเพลงอื่นๆ
ดนตรีบรรเลงจนจบท่อนอินโทร ฉันสูดหายใจเข้าจนเต็มปอด เปิดคอ และเริ่มเปล่งเสียง…
ฉันสังเกตว่าคนที่นั่งอยู่ที่สนามส่วนใหญ่หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่และหันมาสนใจเวที อาจจะเป็นเพราะทำนองเพลงถูกใจคนฟัง หรือมีการร้องประสานเสียงกันตลอดทั้งเพลงก็ไม่ทราบ คนที่นั่งอยู่ใกล้เวทีที่สุดจึงหันมาสนใจพวกเรา บางคนก็โยกหัวตามทำนอง บางคนก็มองเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับบนใบหน้า แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ ส่วนหนึ่งคืออายเกินกว่าจะมองรอบตัวต่อไปได้อีกเพราะตำแหน่งที่ค่อนข้างโดดเด่น และต้องจดจ่อกับเสียงดนตรีเพื่อไม่ให้ร้องผิด ฉันใช้ทุกความสามารถที่มีไปกับเพลงนี้ ท่อนแรกและท่อนที่ 2 ผ่านไปได้ด้วยดี มาถึงท่อนแยกก่อนจบที่ต้องขึ้นเสียงสูง ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ และเปล่งเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ออกมา เว้นจังหวะเล็กน้อยให้คนที่เหลือร้องรับ ก่อนที่ทุกคนจะร้องท่อนสุดท้ายและดนตรีเริ่มเบาลงจนหยุดไป
การแสดงในส่วนท้ายเริ่มแล้ว ปมของเรื่องเริ่มคลี่คลาย ผู้แสดงทุกคนแสดงออกมาได้สมบทบาททีเดียว เสียงปรบมือ เสียงเฮดังขึ้นเป็นระยะ จนเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง ฉันยืนเงี่ยหูฟังจนแน่ใจว่านี่คือเพลงจบของเรื่องที่มีความยาวมากเป็นพิเศษก็ยกไมโครโฟนขึ้นเตรียมพร้อม จัดท่าทางการยืนให้ดี สายตามองตรงไปข้างหน้าและมองเรื่อยไปถึงผู้ชมที่นั่งอยู่ในสนามด้วย และเสียงอินโทรของเพลงสุดท้ายก็เริ่มขึ้น
ฉันร้องท่อนโซโล่ของตัวเองพร้อมกับคิดถึงเนื้อหาที่ลึกซึ้งกินใจของเพลงไปด้วย เพลงนี้กล่าวถึงพิธีจบการศึกษา…
วันนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อวันที่ฉันจบการศึกษาในระดับมัธยมต้น และได้ขึ้นมัธยมปลายจะเป็นยังไงนะ?
วันที่ต้องแยกจากเพื่อนในห้องที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอด 3 ปี และต้องเปลี่ยนสังคมไปเจอเพื่อนใหม่ และความรู้สึกเหมือนต้องจากกันไกลนี่อีก แม้จะยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ฉันก็พยายามถ่ายทอดอารมณ์เศร้า เหงา และลึกซึ้งของบทเพลงออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ท่อนโซโล่ของพาเฟ่ต์เริ่มขึ้นแล้ว ฉันลอบมองเพื่อนผมเขียวที่ยืนอยู่ข้างหลังเล็กน้อย เสียงหวานนุ่มร้องคลอไปกับดนตรีทำให้คนฟังอย่างฉันรู้สึกเหมือนโดนมนตร์สะกด เสียงของเธอใสกังวานแต่ก็แฝงความเศร้าอยู่ลึกๆ ฉันอดชื่นชมในความสามารถของเธอไม่ได้ พาเฟ่ต์นอกจากจะเล่นกีฬาเก่งแล้วความสามารถด้านการร้องเพลงก็ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย และฉันยังรู้สึกว่าเมื่อเทียบตอนซ้อมกับตอนแสดงจริงแล้ว เธอร้องท่อนโซโล่ได้เข้าถึงอารมณ์ที่สุดก็วันนี้เอง
ดนตรีบรรเลงต่อไปอีก 1 นาทีกว่าจะถึงท่อนแยกเข้าท่อนฮุกสุดท้าย ระหว่างนั้นจะมีบทพูดของตัวละครอีกเล็กน้อย ซึ่งส่วนนี้เป็นฉากจบที่สำคัญและซึ้งที่สุดของเรื่อง ฉันมองนักแสดงทุกคนแสดงฉากนั้น หูก็ฟังดนตรีไปด้วย และนักแสดงทุกคนก็เดินเข้าไปยืนในที่ของตน พร้อมกับเสียงดนตรีให้สัญญาณเริ่มท่อนบริดจ์ ฉันกับพี่เชอร์รับหน้าที่ร้องในท่อนนี้ และทุกคนก็ร้องท่อนสุดท้ายพร้อมกันจนจบเพลง
พิธีกรประกาศจบการแสดงแต่เพียงเท่านี้ เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ชมในสนาม พวกเราทุกคนเดินลงมาจากเวทีด้วยกัน รู้สึกโล่งใจที่การแสดงผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย และสามารถทำให้ผู้ชมทุกคน รวมถึงรุ่นพี่ที่จะจบการศึกษาในปีนี้มีความสุขและเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนได้
“ทุกคน ขอบคุณมากเลยนะสำหรับการแสดงวันนี้ คุ้มค่ากับที่เหนื่อยกันมาตลอดเดือน ทุกคนยอดเยี่ยมที่สุดเลย” เสียงพูดขอบคุณจากรุ่นพี่คนหนึ่งทำให้ฉันเผยรอยยิ้มออกมา รู้สึกดีใจที่ได้ร้องเพลง ไม่เคยนึกมาก่อนว่าเสียงของฉันจะสามารถส่งไปถึงผู้ชมทำให้พวกเขามีรอยยิ้มได้ และรู้สึกโล่งอกที่การแสดงสามารถดำเนินต่อไปได้แม้จะมีปัญหาบ้างก็ตามที
“เอาละ ทีนี้พวกเราก็อ่านหนังสือสอบได้โดยไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว แต่ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นห้อง มาถ่ายรูปด้วยกันก่อนสิจ๊ะ ได้แต่งชุดสวยๆ ทั้งที ไม่ถ่ายเก็บไว้หน่อยก็เสียดายแย่น่ะสิ” เสียงของพี่เชอร์เรียกความสนใจของทุกคนได้ดี ฉันกับพาเฟ่ต์เดินไปรวมกับคนที่เหลือ ก่อนทุกคนจะถ่ายรูปด้วยกันอย่างชื่นมื่น
เวลาแห่งความสนุกจบลงแล้ว กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ฉันก้มลงดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าได้เวลาเรียนคาบแรกแล้ว เหลียวไปมองเพื่อนๆ ที่อยู่แถวนั้นก็เห็นว่าทุกคนกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังตึกศิลปะเพื่อเปลี่ยนชุดกลับไปเป็นชุดเครื่องแบบนักเรียนตามเดิม เห็นดังนั้นฉันจึงเร่งฝีเท้าเดินตามเพื่อนๆ ไปทันที
การเรียนวันนี้ผ่านไปด้วยดี แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือความเครียดและมึนงงเนื่องจากแต่ละวิชาจะเน้นติวสอบปลายภาคทั้งหมด เมื่อเสียงออดคาบสุดท้ายดังขึ้น ฉันบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก้มลงเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนเข้ากระเป๋า บอกลาวาฟเฟิลก่อนจะเดินออกจากห้องลงไปที่โรงอาหารเพื่อหาของว่างใส่ท้องสักหน่อยแล้วค่อยเดินกลับบ้าน
โรงอาหารหลังเลิกเรียนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ฉันยืนต่อคิวซื้อไอศครีมร้านประจำที่มีคนยืนรอกันยาวเหยียด มองดูนาฬิกาเห็นว่ายังไม่เย็นมากจึงยืนรอต่อไป
เสียงเครื่องปั่นจากร้านขายน้ำ และเสียงคุยกันจ้อกแจ้กของคนที่อยู่รอบตัวฟังไม่ได้ศัพท์ บวกกับความหิวทำให้ฉันไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลยนอกจากขยับตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงคิวของตัวเอง เมื่อสั่งไอศครีมแล้วก็ยืนรอต่ออีกสักพักจึงได้ไอศครีมคาราเมลสมใจอยาก ฉันหมุนตัวเดินออกจากร้าน ก่อนจะหาที่นั่งกินไอศครีมในมือทันทีก่อนที่จะละลาย
“ซินนามอน” เสียงเรียกดังขึ้นทำให้ฉันที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติหวานเย็นของไอศครีมสะดุ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองที่มาของเสียงแทบจะในทันที
“พาเฟ่ต์” เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็หันกลับมายังถ้วยของตัวเองตามเดิม ไม่ลืมเอ่ยชวนเพื่อนผมเขียวให้นั่งด้วยกันก่อน
พาเฟ่ต์ทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกัดเครฟที่ถืออยู่ในมือคำหนึ่ง ฉันปล่อยให้เธอกินขนมสักพักจึงชวนคุย
“เพิ่งเลิกเรียนเหรอ?”
“อื้ม” พาเฟ่ต์พยักหน้า “เธอก็เพิ่งเลิกเหมือนกันสินะ เป็นยังไงบ้างล่ะ ติวหนักหรือเปล่า?”
ฉันถอนใจแทนคำตอบ เธอพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่ม พวกเรานั่งคุยกันถึงการแสดงวันนี้ เรื่องชุด และเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ จนของกินที่ซื้อมาหมดเกลี้ยง ฉันอาสารวมขยะทุกอย่างไปทิ้งให้ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม พาเฟ่ต์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอะไรเรื่อยเปื่อย แต่สักพักสีหน้าที่เคยเรียบเฉยก็เปลี่ยนไป
“ซินนามอน เธอรีบกลับหรือเปล่า?” เสียงที่เอ่ยถามดูร้อนรนผิดปกติ
“ไม่รีบจ้ะ มีอะไรเหรอ?” ฉันสังเกตเห็นท่าทางของเธอที่ดูแปลกไปจึงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“เธอช่วยมากับฉันหน่อยได้ไหม? เหมือนพวกเราจะงานเข้าแล้วล่ะ”
(ติดตามตอนต่อไป)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 623
แสดงความคิดเห็น