บทที่ 14: ตำหนักอวี๋ชิง

-A A +A

บทที่ 14: ตำหนักอวี๋ชิง

ในขณะนี้แสงเจิดจ้าส่องประกายอยู่ในดวงตาอันมืดมิดของมู่เทียนฉง

ทันทีที่มู่ไป๋ไป่เห็นท่าทีของพ่อตัวเอง เธอก็จำได้ว่าพ่อคนนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบกินขนมหวาน

ข้อเท็จจริงนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น

แย่แล้ว ๆ ดูเหมือนว่าฉันจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไปเสียแล้ว

แต่เธอไม่คาดคิดว่ามู่เทียนฉงจะยกมือขึ้นมาตักขนมชิ้นใหญ่เข้าปากไป

หลังจากฮ่องเต้หนุ่มเคี้ยวขนมไปได้สักครู่ สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงอาการไม่ชอบใจ แล้วใบหน้าที่เฉยเมยในตอนแรกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“มันอร่อยจริง ๆ ด้วย”

ขณะนั้นอันกงกงเข้ามาทูลถามอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีแจ้งว่า หากจะลงโทษองค์หญิงใหญ่ เขาก็จะคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ…”

มู่เทียนฉงยิ้มเย็น “นี่เขากล้าขู่เราอย่างนั้นหรือ?”

ไม่ว่าเขาจะรักอดีตฮองเฮามากเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลให้คนพวกนี้กล้ามาอวดดีต่อหน้าเขา

“เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาคุกเข่าไป”

หลังจากบิดาของแผ่นดินเอ่ยประโยคนี้ออกไป ตำหนักเย่าเจิ้งก็ดูคล้ายกับถูกห้อมล้อมด้วยพายุหิมะ

อันกงกงตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพราะอัครมหาเสนาบดีไม่ได้เป็นเพียงพี่ชายของอดีตฮองเฮาเท่านั้น แต่เขายังเป็นเสาหลักของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย

ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ฮ่องเต้จะเอาจริงเสียแล้ว

ถัดมา มู่เทียนฉงหันกลับมาถามคนตัวเล็กว่า “เจ้าคิดถึงแม่ของเจ้าหรือไม่?”

มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงเนื่องจากเธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงถามแบบนี้ขึ้นมา

แม่ขององค์หญิงหก หว่านกุ้ยเหรินแห่งตำหนักอวี๋ชิงน่ะหรือ?

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ตามกฎของวังหลวงแล้ว กุ้ยเหรินไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกของตัวเอง ดังนั้นมู่ไป๋ไป่ที่เพิ่งเดินได้ตอนอายุ 1 ขวบก็ถูกพาตัวออกจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่

จากนั้นนางก็ถูกเอาไปทิ้งไว้ในตำหนักโทรม ๆ ให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง และคอยดูแลเพียงแค่ให้นางไม่ตายก็พอแล้ว

ในระหว่างนั้นแม่ของนางคอยแอบมาหานางบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาเยี่ยม นางก็จะเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด แล้วคอยบอกว่าชะตาชีวิตของมู่ไป๋ไป่นั้นช่างน่าเวทนายิ่งนัก

และความทรงจำเกี่ยวกับแม่คนนี้ของเจ้าของร่างเดิมมันก็คล้ายกับประสบการณ์ชีวิตของตัวเธอเอง มันจึงทำให้เธอรู้สึกเศร้าหมอง..

“คิดถึงเพคะ”

มู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่ง มีคำคนเคยบอกว่ามารดาจะมีคุณค่าก็ขึ้นอยู่กับบุตร

แม่ขององค์หญิงหกนั้นร่างกายอ่อนแอ นางทำได้เพียงใช้ร่างกายที่ป่วยกระเสาะกระแสะของตัวเองรอคอยฮ่องเต้อยู่ตลอดทั้งวัน นางไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนหากนางไม่ได้รับความโปรดปราน

ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่ได้รับความโปรดปรานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นมันควรจะมีผลดีต่อท่านแม่ผู้น่าสงสารผู้นี้มากขึ้นหน่อย

“เราจะพาเจ้าไปหานาง”

เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินคำตอบของลูกสาว เขาก็เปิดผ้าห่มออกจากตัวนางในอึดใจต่อมา ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้แขนและมือของเด็กน้อยถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงพยายามระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบบริเวณแผลมากที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปเผลอทำให้นางต้องเจ็บตัวอีกครั้ง

“เราจะไปตำหนักอวี๋ชิง”

เมื่ออันกงกงได้ยินฝ่าบาทรับสั่งดังนั้น เขาก็รู้สึกขนลุกขนพองราวกับเห็นผี

ตำหนักอวี๋ชิงเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ห่างไกลมาก ฮ่องเต้เคยเสด็จไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่มันก็ช่างบังเอิญที่หว่านกุ้ยเหรินตั้งท้ององค์หญิงหกโดยไม่คาดคิด

แม้ว่าหว่านกุ้ยเหรินจะให้กำเนิดองค์หญิงออกมาคนหนึ่ง แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยชายตาแลนางเลยสักครั้ง

ต่อให้อันกงกงจะมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปและทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ทันที

ด้านนอกห้องบรรทม มีอัครมหาเสนาบดีที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนางกำลังคุกเข่าอยู่

ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่เหลือบมองผ่านช่องว่างเงียบ ๆ

คนผู้นี้น่าจะเป็นอัครมหาเสนาบดี เมื่อดูจากผมที่ยังคงดกดำของเขา เธอจึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะแก่กว่าพ่อของเธอเพียงไม่กี่ปี

เมื่ออัครมหาเสนาบดีเห็นกลุ่มคนเดินออกมา เขาก็เผลอคิดว่าฮ่องเต้ได้ละเว้นโทษให้กับองค์หญิงใหญ่แล้ว เขาจึงตะโกนด้วยความยินดีว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์อายุยืนยาวหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”

แต่เขาไม่คาดคิดว่ามู่เทียนฉงจะทำเพียงแค่เหลือบมองเขาด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็เดินอ้อมไปโดยไม่สนใจจะหยุดพูดคุยกับตน

ในขณะที่อัครมหาเสนาบดีต้องการจะพูดบางสิ่ง อันกงกงที่เห็นท่าไม่ดีก็ตะโกนขัดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จไปเยือนตำหนักอวี๋ชิง!”

อัครมหาเสนาบดีที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่คุกเข่านั่งมองฮ่องเต้เดินไกลออกไปด้วยสายตาเหลือเชื่อ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฝ่าบาทกำลังอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนของตน

นั่นองค์หญิงหกหรือ?

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

ฝ่าบาททรงอุ้มองค์หญิงหกมุ่งหน้าไปที่ตำหนักอวี๋ชิง ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปหลังจากผ่านมานานหลายปี ซ้ำยังมีกระแสรับสั่งจำคุกองค์หญิงใหญ่ด้วยพระองค์เอง ความคิดของฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างยากจะหยั่งถึงยิ่งนัก

อัครมหาเสนาบดีหลับตาแน่นพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับลงมาในใจ

จากนั้นข่าวที่ฮ่องเต้ไปเยือนตำหนักอวี๋ชิงก็ถูกร่ำลือไปทั่ววังหลวงจนเกิดความโกลาหลอีกครั้ง

ยิ่งขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าไปใกล้ตำหนักอวี๋ชิงมากเท่าไหร่ เหล่านางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดมากขึ้น

ในขณะที่พวกนางคุกเข่าก้มหน้าเพื่อให้ขบวนเสด็จผ่านไป พวกนางก็แอบเหลือบมองกันไปมาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความนัย

วันนี้หว่านกุ้ยเหรินจุดธูปขอพรพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ?

เมื่อขบวนเสด็จมาถึงบริเวณหน้าตำหนัก อันกงกงก็ได้ประกาศให้คนทั่วทั้งตำหนักอวี๋ชิงได้ยิน “ฝ่าบาทเสด็จ!”

ในตำหนักอวี๋ชิงมีนางกำนัลเพียง 4 คน และในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่พวกนางแอบหลบไปงีบหลับกันอยู่ พอได้ยินเสียงตะโกนเช่นนี้ พวกนางก็ตกใจแทบสิ้นสติ

ปัจจุบัน ‘ซูหว่าน’ กำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้อยู่ในสวน นางคิดว่าตนเองเพียงแค่หูฝาดไป จึงชะงักมือเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ

ในเวลาเดียวกัน นางกำนัลหลายคนกุลีกุจอไปคุกเข่าที่ประตูตำหนักเพื่อถวายการต้อนรับฝ่าบาท พร้อมกับตะโกนว่า “หม่อมฉันถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”

จากนั้นพวกนางก็เงยหน้าขึ้น ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของนางกำนัลพวกนี้ยังเยาว์วัยดูอายุไม่ถึง 20 ปี แต่ใบหน้าของพวกนางกลับซีดเซียวไร้สีสัน

เมื่อสาวใช้ทั้งหลายเห็นเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองสดใส แล้วมองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของผู้ที่ครอบครองบัลลังก์ พวกนางก็แทบจะพากันร้องไห้ออกมา

มู่ไป๋ไป่รีบดิ้นออกจากอ้อมแขนของมู่เทียนฉง เนื่องจากเธอใช้แขนของตัวเองไม่ได้ เธอจึงเดินเอาหน้าไปสะกิดซูหว่าน 2-3 ครั้ง

“ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่นี่แล้ว ทำไมท่านดูไม่มีความสุขเลยล่ะ?”

เด็กหญิงรู้อยู่แล้วว่าท่านแม่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เธอจึงเรียกสติอีกฝ่าย

จากนั้นซูหว่านก็ตระหนักถึงท่าทีของตนเอง นางปาดน้ำตาและรีบทำความเคารพฮ่องเต้

“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”

“ลุกขึ้นเถิด”

ระหว่างนั้นมู่เทียนฉงหรี่ตาลงเพื่อสังเกตสตรีตรงหน้า

วันนี้ซูหว่านสวมชุดสีม่วงอ่อน ผมสีดำตรงยาวของนางถูกเกล้าอย่างประณีตและมีเครื่องประดับผมตกแต่ง ดวงตาและริมฝีปากของนางดูผุดผ่องอยู่เล็กน้อย

จากนั้นเขาก็ตระหนักว่า แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะคลอดบุตรสาวมาหลายปีแล้ว แต่นางก็ยังมีใบหน้าที่งดงาม ผิวพรรณเรียบเนียนและมีกิริยามารยาท

ซูหว่านไม่กล้าสบตาชายผู้ทรงอำนาจตรงหน้า เมื่อนางเห็นเขาจ้องตนเอง นางก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย

ในระหว่างที่นางก้มหน้าลง นางก็บังเอิญหันไปเห็นว่าแขนของลูกสาวถูกพันด้วยผ้าพันแผล ซึ่งภาพนั้นมันทำให้นางรู้สึกปวดใจมาก

“ไป๋ไป่ ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เจ้าเจ็บหรือไม่ มาให้แม่ดูหน่อย ทำไมเจ้าถึงเจ็บหนักขนาดนี้?”

มู่ไป๋ไป่หัวเราะเบา ๆ ขณะสบตาซูหว่านที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ท่านพ่อได้ส่งหมอหลวงให้มาดูแลแผลของข้าทุกวัน ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้นะ อย่าร้องไห้เลย”

ผู้เป็นแม่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ

แต่หลังจากที่นางสงบสติอารมณ์ได้แล้ว นางก็นึกแปลกในใจที่พบว่าลูกสาวคนเดิมของนางดูเหมือนจะไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว

หว่านกุ้ยเหรินรีบเช็ดน้ำตาตัวเองที่กำลังไหลออกจากหางตา พร้อมกับความรู้สึกโล่งใจที่เข้ามาแทนที่

“สั่งให้คนเตรียมอาหาร วันนี้เราจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ตำหนักอวี๋ชิง”

มู่เทียนฉงหันไปพูดกับอันกงกง ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นมาอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก

ซูหว่านต้องตกตะลึงอีกครั้ง การมาถึงของฮ่องเต้ก็ทำให้นางประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แถมตอนนี้เขายังอุ้มลูกสาวเดินเข้าไปภายในตำหนักอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ทันทีที่ฮ่องเต้หนุ่มเดินก้าวเข้ามาในตำหนัก เขาก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จาง ๆ

กลิ่นหอมนี้มันไม่ได้ฉุนจมูกหรือเบาบางจนเกินไป มันเป็นกลิ่นหอมที่พอดีซึ่งไม่ทำให้ต้องรู้สึกเวียนหัว

มู่เทียนฉงยกมุมปากขึ้นอย่างอ่อนโยนซึ่งเป็นภาพที่หาได้ยาก ในขณะที่เขากล่าวว่า “เราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหว่านกุ้ยเหรินจะมีความสามารถในการปลูกดอกไม้ถึงเพียงนี้”

ซูหว่านเผยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปรินชาชั้นดีให้ฮ่องเต้ 1 ถ้วย

ในยามที่นางหยิบถ้วยชาถวายแก่ฝ่าบาท ไอความร้อนก็ลอยกรุ่นอยู่บริเวณปลายนิ้วของนาง ช่วยขับให้ข้อมือที่ขาวเนียนไร้ตำหนิราวกับหยกนั้นดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

หญิงสาวยื่นชาไปวางที่ตรงหน้ามู่เทียนฉงพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์ลองชิมชาที่หม่อมฉันปลูกขึ้นเองสิเพคะ”

ยามนี้สายตาของมู่เทียนฉงดูอ่อนลง เขาได้เห็นความสามารถในการปลูกดอกไม้ของอีกฝ่ายแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะพิสูจน์ความสามารถในการปลูกชาของนางเช่นกัน

ชายผู้อยู่เหนือหัวทุกคนในแคว้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตนนั้นจะมีพระสนมที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ในวังหลังด้วย

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ดีจังเลย ท่านพ่อก็มีท่าทีอ่อนโยนกับท่านแม่เหมือนกัน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.