STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 30 หมายเหตุ
26 มิถุนายน พ.ศ.2576
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่านักสู้ตัวน้อยได้เดินทางกลับจากดันเจี้ยน คิโนริวิ่งตรงดิ่งมาก่อนใครเพราะจำกลิ่นที่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดี
“พี่กิ !” เธอกระโดดเกาะรุนแรงจนซึฮากิโดนดันถอยไปชิดกำแพง
“ไปลุยดันเจี้ยนกันมาสิท่ากลิ่นเลือดติดเต็มเลย” ซึฮากิอุ้มคิโนริยกขึ้นสูงก่อนจะวางลงพื้นอย่างนิ่มนวล
“อุ้มผมบ้างสิครับ” รอนเดินมารอตรงหน้าและยกมือรอให้อุ้ม
“เหอะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้…” แมรี่สะบัดหน้าหนีไม่อยากเห็นเพื่อนเล่นกับพี่ซีฮากิ
จู่ ๆ แมรี่ก็ลอยขึ้นจากพื้นโดยไม่รู้ตัว ซึฮากิใช้เวทมนตร์ยกตัวเด็ก ๆ ทั้งหกคนลอยไปมาเหมือนเครื่องเล่นในสวนสนุก
“ทะ…ทำอะไรเนี่ย !” แมรี่เหงื่อตกร้องลั่นทำอะไรไม่ถูกแต่พอได้เห็นเพื่อน ๆ ลอยข้ามหัวไปมามันก็ทำให้เธอสงบลงและยิ้มเริงร่าไปพร้อมกับเพื่อน ๆ
“กิ ข้าขอคุยด้วยสักครู่สิ...เจี๊ยก”
ซึฮากิพยักหน้าตอบรับและแยกไปกันสองคน
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะสังเกตหรือเปล่าแต่ตอนนี้คิโนริมีอะไรกังวลในใจอยู่ตลอดเลย”
“อาจจะเป็นเรื่องมิโกะหรือเปล่า? อีกไม่นานก็จะมีการตื่นของสายเลือดซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นไหม เธอคงจะอยากแข็งแกร่งเร็วที่สุดเพื่อเตรียมรับมือกับช่วงเวลานั้นก็ได้”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็พัฒนาการของเธอสูงมากถ้าเทียบกับเพื่อน ๆ บางทีการฝึกซ้อมแผนด้วยกันอาจทำให้เธอช้าลงด้วยซ้ำ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผมก็ยังหวังว่าคิโนริจะปรับตัวกับสถานการณ์ได้ ถ้างั้นผมจะเปิดดันเจี้ยนที่ระดับยากขึ้นให้ลองแต่ผมจะให้คนไปเสริมอีกสักคนสองคน”
“ใครอีกล่ะเนี่ย? หรือจะเป็นลิงเมฆา”
“ไม่ใช่ พอดีว่ามีคนว่างงานอยู่สองคนก็เลยจะมอบงานให้ทำสักหน่อย”
หลังจากพูดคุยและทักทายทุกคนเสร็จซึฮากิก็ออกไปตรวจสอบความเรียบร้อยของหน่วยงานอื่นรวมไปถึงหน่วยตรวจคนเข้าเมืองด้วย
“สวัสดีครับคุณซึฮากิ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวทักทายเสียงดังหนักแน่นและยืนตัวตรงเหมือนนายทหารทำความเคารพผู้พัน
“หลายวันมานี้มีอะไรน่าสงสัยไหม?”
“ไม่มีครับ !” ไม่นานคนในหน่วยก็เดินมาทักทายเช่นกัน
แม้จะได้ยินคำตอบเช่นนั้นกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนทั้งหมดแต่เขาก็ไม่นิ่งนอนใจเดินไปดูรอบ ๆ ด้วยตนเอง
ด้วยระบบการคัดคนแบบสุ่มเปลี่ยนทำให้มีความน่าเชื่อถือมากกว่าปกติ หากมีการลอบเข้าเมืองก็จะถูกตัดสินไล่ออกทันทีและหากมีประสงค์ร้ายก็จะถูกลงโทษตามระเบียบวินัย ช่วงนี้ต้องระวังพวกสำนักมนตร์ดำเป็นพิเศษเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่อาจจะนำไปสู่การขัดแย้งกันในอนาคต ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นตัวตัดสินว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวไวมากแค่ไหน
ซึฮากิใช้เวลาทั้งวันไปกับการสำรวจและตรวจสอบความผิดปกติทั้งหมด พอตกเย็นเขาก็กลับไปที่ศูนย์วิจัยส่วนตัวเพื่อดูเชลยทั้งสองคน
“พูดอะไรบ้างไหม?” ซึฮากิถามร่างโคลนของเขาจากนั้นก็เอาเอกสารมานั่งเปิดอ่านต่อหน้ารินเหมือนเป็นการเยาะเย้ย
“ใจแข็งกว่าที่คิดแฮะแต่จะทนไปได้นานสักแค่ไหนกันเชียว” ซึฮากิเปิดฝาถังให้รินได้พูดคุยได้
“รู้ไปก็เปล่าประโยชน์ พวกแกไม่มีทางหลุดพ้นจากเงื้อมมือของพวกมันได้หรอก” แววตาเศร้าสร้อยกำลังทอดลงบนร่างกายที่ถูกพันธนาการไว้ราวกับกำลังสมเพชตนเอง
“พอตัวเองทำไม่ได้ก็เหมารวมคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ ถ้าอยากหลุดพ้นก็จงบอกเบื้องหลังของเธอมา เบื้องหลังที่ทำให้ทั้งจ้าวทะเลและสำนักมนตร์ดำร่วมมือกันได้มันคือใคร?”
รินหันหลังกลับไปคิดทบทวนกับตนเองปล่อยให้ซึฮากิสงสัยต่อไป
“ช่างเถอะ งั้นวันนี้เราจะย้ายที่อยู่กัน”
“ย้ายเหรอ? ย้ายไปไหนอีกล่ะ?” รินหันกลับมามองหน้าอีกครั้ง
“เรียกบ้านพักตากอากาศก็แล้วกัน เพราะที่นั่นยังไม่ได้สร้างของจำเป็นหลายอย่าง หวังว่าพวกเธอสองคนจะยอมเปิดปากพูดสักทีนะ”
พอพูดจบซึฮากิตัวจริงก็เดินจากไปทิ้งร่างโคลนไว้เคลื่อนย้ายถังอยู่สามคน พวกเขาเคลื่อนไหวตามเส้นทางที่สร้างไว้โดยที่ประชาชนทั่วไปไม่รู้จนไปถึงบ้านพักตากอากาศ
อีกด้านหนึ่งที่เมืองแอสต้าซึ่งมีกลุ่มหนุ่มสาวเที่ยวเล่นไปทั่วโดยเฉพาะที่ร้านอาหาร แม้จะเคยลิ้มลองรสชาติความหรูหราจากตระกูลขุนนางมาแล้วแต่จะพลาดร้านอาหารแปลกตาทั่วเมืองได้อย่างไร
“กิคงไม่กลับมาวันนี้หรอกมั้ง แล้วเรามีเงินติดตัวเท่าไร?” เซนถาม
“อา...สิบเหรียญทอง” ซีโร่นับเหรียญอันน้อยนิดก่อนจะให้คำตอบ
“ก็ไม่น้อยนะเพราะฉะนั้น...”
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” ซีโร่พูดขัดเสียก่อนเพราะรู้ว่าเซนกำลังจะพาไปผลาญเงินเล่น
“โธ่...อุตส่าห์จะไปเดินเที่ยวสักหน่อย”
“อย่าเศร้าไปเลยเดี๋ยวกลับไปเราก็จะได้กินของอร่อย ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ อยู่นี่เราแค่เดินเที่ยวก็พอแล้ว” คานะตบบ่าแรงจนแทบเคล็ดจากนั้นก็โอบไหล่เซนไว้เหมือนเดินเพื่อน ๆ เดินเกาะกลุ่มสมัยประถม
“ฉันเอาด้วยสิ” ซีโร่เดินมาแนบชิดติดคานะเพื่อโอบไหล่เกาะไปด้วยกัน
จากนั้นทั้งสามก็เหลือบมองหน้าฟรานและดีน่าบอกเป็นนัยว่าให้เข้าร่วมเสียเถอะ “เอาก็เอา” สุดท้ายฟรานกับดีน่าก็ได้เข้าร่วมก๊วนหนุ่มสาวที่เดินเกาะกันเป็นแถวกลายเป็นจุดเด่นท่ามกลางหมู่ชนในตลาด
“นั่นคือท่านผู้กล้าใช่ไหม? แล้วคนพวกนั้นเป็นใครถึงได้สนิทสนมขนาดนั้น”
“ฉันจำได้ พวกนั้นคือกบฏที่เคยฆ่าทหารของเรา”
“อย่าบอกนะว่าท่านผู้กล้ากลายเป็นพวกกบฏไปแล้ว”
เสียงนินทาดังตลอดเส้นทางการเดินเล่นของพวกเขาแต่เสียงคุยลั่นของพวกเซนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน พฤติกรรมอันห้าวหาญเหมือนเดินอยู่สวนหลังบ้านทำให้เหล่าขุนนางมองต่ำเหมือนพวกบ้านนอกที่ไม่เคยมาเมืองใหญ่
“ขอกล่าวทักทายท่านผู้กล้า ถึงจะเคยเจอกันแล้วแต่ท่านคงจำดิฉันไม่ได้” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งยืนดักรอทักทายพร้อมด้วยอัศวินคุ้มกันหลายคน
“ขอโทษจริง ๆ ถึงจะจำชื่อไม่ได้แต่เราจำหน้าได้นะ เธอคือคนที่มาชนแก้วกับเราตอนงานเลี้ยงใช่ไหม?” ฟรานเดินนำขึ้นมาเพื่อกล่าวทักทาย
“ขอบพระคุณจริง ๆ ค่ะที่ท่านผู้กล้าจำดิฉันได้ จริง ๆ ดิฉันอยากพบท่านมานานแล้วค่ะแต่ท่านมักจะยุ่งอยู่กับการฝึก และไหน ๆ ตอนนี้ก็ได้เจอแล้วดิฉันจึงอยากเชิญท่านผู้กล้าไปเดินชมสวนด้วยกันค่ะ”
ไป ๆ มา ๆ พวกเขาก็ได้เดินทางร่วมกับขุนนางอีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะสถานที่ที่เธอพาไปไม่ใช่บ้านของตนเองแต่เป็นสวนในโรงเรียนหลวง
“ขอแนะนำตัวนะคะ ดิฉันมีนามว่า เอวา กรีนนิช เป็นลูกสาวของตระกูลไวเคานต์ที่ทำมาค้าขายเกี่ยวกับพืชพันธุ์ค่ะ”
“คุณเอวานี่เอง ฉันจะจำไว้ไม่ลืมเลย” ฟรานจับมือขุนนางสาวอย่างเป็นมิตรเป็นการทักทายรูปแบบหนึ่ง
“เจ้าต้นนั้นกินได้ไหม?” เซนเอ่ยถามขณะที่ชี้ไปยังต้นไม้เรียวสูงกว่าต้นไหน ๆ
“กินได้ค่ะ” เอวายิ้มตอบกลับไม่แสดงท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด
“แล้ว ๆ เจ้าต้นนั้นล่ะ?” เซนชี้ไปยังต้นต่อไปที่มีลักษณะอ้วนกลมเหมือนลูกบอล
“กินได้ค่ะ”
“โห่ ! แล้วเจ้าต้นแปลก ๆ นั่นล่ะ?” เขาชี้ไปที่ต้นไม้สีดำที่แตกกิ่งก้านไปรอบ ๆ หนาจนเหมือนวิกผม
“ได้ค่ะ...” น้ำเสียงสดใสที่เคยเปล่งออกมาค่อย ๆ ลดทอนลงจนเรียบนิ่งเหมือนไม่อยากเสวนาด้วย
“ดู ๆ เจ้าต้นที่เหมือนคนนั่นกินได้ไหม?”
“ได้...ค่ะ...” สีหน้าของเธอเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่จนคิ้วกระตุกให้เห็น น้ำเสียงแข็งกระด้างที่เอ่ยออกมาตอนกำลังกัดฟันทำให้รู้ได้ทันทีว่ากำลังจะหมดความอดทน
“แม่เจ้าเว้ย ! อันนั้นมันน่ากินชะมัดเลยว่ะ...”
“ผีเจาะปากมาพูดหรือยังไงวะ !” คานะเอามือยัดเข้าปากให้เงียบก่อนที่เอวาจะสติหลุด
ซีโร่หัวเราะเยาะชอบใจก่อนจะหันมองเอวา “ไม่ต้องใส่ใจเจ้าพวกนั้นหรอก พวกเรามาเที่ยวเล่นกันก็ต้องผ่อนคลายสิ”
“ขอบพระคุณค่ะ”
“จะว่าไปเธอพูดแบบมีมารยาทตลอดเวลาเลยแฮะ รู้สึกแปลกดีเหมือนกันหรือเพราะรอบตัวมีแต่พวกอย่างนั้นก็ไม่รู้”
“พวกเราเหล่าขุนนางจำเป็นต้องเรียนมารยาทพื้นฐานเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล พวกเขามักจะมีงานเลี้ยงบ่อย ๆ ซึ่งเวลาพบปะขุนนางท่านอื่นเราก็ต้องรู้มารยาทพื้นฐานสำหรับทักทาย ถึงพักหลังมานี้เรื่องมารยาทจะถดถอยลงเพราะองค์ราชาแต่ดิฉันก็ต้องรักษามารยาทต่อไป”
“ถ้างั้นอยู่กับพวกเราเธอพูดปกติก็ได้นะ” ฟรานส่งยิ้มเบิกบานให้และมองดูแววตาลังเลคู่นั้นว่าจะให้คำตอบว่าอะไร
“ถ้าท่านผู้กล้ากล่าวเช่นนั้นดิฉันก็จะทำตามค่ะ”
“ดีเลย ๆ แล้วที่เธอชวนฉันมาเที่ยวในสวนเพราะอะไรเหรอ?”
“ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ ฉันก็แค่อยากให้ท่านผู้กล้าได้เชยชมความสวยงามของพืชพันธุ์นานาชนิดเท่านั้นเอง”
โกหกสินะแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย ตระกูลกรีนนิชเป็นตระกูลค้าขายพืชพันธุ์ทั้งแบบพืชการเกษตรและพืชตกแต่งสวน ที่พามาดูก็คงจะให้เห็นสิ่งที่ตระกูลตนเองค้าขายเผื่อผู้กล้าจะสนใจ แต่เธอจะรู้สึกตัวไหมนะ ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มของซีโร่ได้มีการคิดวิเคราะห์พฤติกรรมอีกฝ่ายตลอดเวลา หลังจากที่เธอได้ไปสำรวจบ้านของขุนนางทุกตระกูลทำให้เธอรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่คิด
“เรียกฉันแค่ฟรานก็ได้นะเอวา”
“ค่ะ…คุณฟราน”
“ลองเอาคำว่าคุณออกสิ” ฟรานจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นพยายามให้กำลังใจเพียงเพื่อให้หญิงสาวคนนั้นเอ่ยชื่อของตนเองออกมา
“ฟราน...”
“นั่นแหละเอวา ดู ๆ แล้วเธอก็น่าจะอายุพอ ๆ กันดังนั้นเรียกแค่ชื่อก็พอ”
“ค่ะ...จะว่าไปฉันยังไม่รู้จักคนอื่น ๆ เลยนะคะ ถึงจะเคยได้ยินข่าวลือเรื่องที่ฟรานมีเพื่อนเป็นกบฏแต่พอได้มาเห็นกับตาฉันจึงคิดว่ามันเกินจริงไปหน่อย...”
“ฉันเซนเป็นหนุ่มหล่อที่หาได้ยากยิ่ง” พูดไม่ทันขาดคำเซนก็ยื่นมือให้จับอยากทักทายบ้าง
“หล่อตายแหละ...ฉันชื่อซีโร่เป็นตัวแทนของกิในการควบคุมเจ้าพวกนี้” แม้จะคุยด้วยแต่เธอก็ยังเหลือบมองอัศวินคุ้มกันที่ตามมาด้วย
“นั่นสินะ เธอเหมือนพี่เลี้ยงอีกคนเลยแต่ไม่ใช่กับฉันหรอกนะ” คานะกระตุกยิ้มมุมปากให้ก่อนจะพูดต่อ “ฉันคานะ”
พอคนอื่นแนะตัวเสร็จดีน่าก็เดินตามขึ้นมาเพื่อทักทาย “ฉันดีน่าเป็นลูกสาวตระกูลบารอนโบฟอร์ตค่ะ”
“โบฟอร์ตเหรอ? เป็นตระกูลที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งไม่นานนี้เองนี่นา ยินดีต้อนรับสู่โลกของขุนนางนะดีน่า”
“ขอบคุณนะคะที่จำกันได้” ทั้งสองจ้องมองกันและกันพยายามมองลึกลงไปในจิตใจเพื่อดูว่าอีกฝ่ายคิดกับตนเองอย่างไร
เหล่าหนุ่มสาวได้เดินเที่ยวชมสวนตั้งแต่ทางเข้าจรดทางออก การเดินเท้าทำให้พวกเขามีเวลาพูดคุยและสานสัมพันธ์กันมากกว่าเวลากินอาหารเสียอีก
คิดไว้แล้วสินะที่เลือกให้เดินเท้า การเดินกินลมทำให้พวกเรามีเวลาว่างเยอะพอที่จะพูดคุยถามไถ่ทุกอย่างจนกว่าจะหมดเรื่องพูดแต่เจ้าพวกเซนก็ดันหาเรื่องให้พูดได้ตลอดเลยเนี่ยสิ ถ้าอีกฝ่ายได้ข้อมูลดี ๆ ไปคงลำบากน่าดู
“ที่บ้านเธอมีดอกไม้พวกนี้หมดเลยเหรอ?” ฟรานถาม
“อืม ! แถมยังมีดอกไม้ที่คนทั่วไปไม่เคยเห็นด้วยนะ ถ้าอยากดูฉันจะพาไปที่บ้านเอง”
“จริงเหรอ เอาไว้กิจังมาด้วยแล้วกันฉันจะได้พาเขาไปสูดอากาศรับบรรยากาศดี ๆ บ้าง”
“ว่าแต่กินี่คือใครเหรอคะ? เห็นพูดถึงกันตลอดเลย”
ฟรานยิ้มปริ่มเหมือนรอให้เอวาถามมาตลอด “กิจังเป็นหนุ่มหล่อผู้มากความสามารถ การคิดวิเคราะห์อันล้ำเลิศที่ไม่มีใครหยั่งถึงกับการตัดสินใจที่แน่วแน่ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้สำเร็จทุกครั้ง ส่วนสูงไม่สูงมากนักหุ่นเองก็ไม่ได้ใหญ่แต่กลับมีแรงเยอะจนน่าเหลือเชื่อ เมื่อก่อนเขาอุ้มตัวฉันกับเพื่อน ๆ ได้ในคราวเดียวเลยนะแถมตอนนี้ยังอุ้มหมีได้สบาย ๆ อีกด้วย”
“นั่นเธอจะพูดอีกนานไหม?” ดีน่ากระซิบคุยกับซีโร่ระหว่างที่ฟรานกำลังสาธยายต่อไป
“ถึงเขาจะทำตัวเย็นชาไปหน่อยแต่ถ้าได้รู้จักจริง ๆ ก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่สุดยอดกว่าใครเลยนะ ฉันเคยทำสร้อยข้อมือให้เขาด้วยแต่ดูเหมือนจะขาดหายไปแล้ว แต่เดี๋ยวฉันว่าจะทำอันใหม่ให้พอดีเลย แล้วก็วันก่อนฉันเห็นเขายิ้มด้วยนะถึงจะแค่แป๊บเดียวแต่ก็เริ่มจะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“โห่ ฉันชักจะอยากเห็นตัวเป็น ๆ แล้วสิ เอาไว้วันหลังพาเขามาด้วยนะคะ” เอวาทำตาโตสงสัยแม้มันจะเป็นการทำไปเพราะเป็นมารยาทว่ากำลังสนใจสิ่งที่พูดอยู่ก็ตาม
ก่อนที่จะได้จากลาฝนก็ดันมาตกพอดีทำให้พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันต่อ
“ไม่เห็นฝนตกนานแล้วนะเนี่ย” เซนกระโดดออกไปกลางแจ้งพร้อมกับกางแขนและหมุนเหมือนลูกข่างเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศเปียกชื้น
“ก็จริงแฮะเพราะที่โน่นมันเป็นเขตติดทะเลทรายทำให้ฝนตกน้อยมาก แต่แบบนี้มันก็หนักไปหรือเปล่า” คานะกล่าวพลางเงยดูเมฆสีดำที่ปกคลุมทั่วน่านฟ้า
“จะว่าไป…เราต้องกลัวฝนด้วยเหรอ? ก็แค่ใช้เสริมกำลังก็ไม่เปียกแล้วนี่” ซีโร่เดินตากฝนแสดงให้เห็นว่าเสริมกำลังใช้ได้หลากหลายแค่ไหน
“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย ไหนฉันขอลองบ้างสิ” คานะกระโดดออกจากชายคาเพื่อรับเม็ดฝนตามซีโร่
“น่าตื่นเต้นดีนะเนี่ย ฉันขอลองบ้างละกัน” ดีน่าลองทำตามบ้างแต่เธอยังจำเป็นต้องใช้คำร่ายไม่เหมือนพวกเซน
“พวกเขาดูสนุกกับทุกเรื่องจริง ๆ นะคะ” เอวากล่าวด้วยแววตาสงสัยค่อย ๆ เผยให้เห็นความรู้สึกมากกว่าสิ่งที่เรียกว่ามารยาทที่ใช้กับขุนนางด้วยกัน
“ฉันชอบนะที่เห็นพวกเขายิ้มให้กับทุกเรื่องได้...ฉันอยากจะเป็นแบบพวกเขาบ้างเหมือนกัน”
“ฟรานเองก็คงมีปัญหาลึก ๆ ในใจเหมือนกันสินะคะ ดูเหมือนเราสองคนจะคล้ายกันกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
“นั่นสินะ ทุก ๆ คนต่างก็มีปัญหาของตัวเองแต่จะจัดการกับมันยังไงเนี่ยแหละ ถ้าเป็นกิจังคงจัดการได้ทันที ส่วนเซนกับคานะก็เหมือนลืมปัญหามากกว่าจะแก้มันแล้วค่อยให้กิจังช่วยเตือนแทน แล้วพอมาดูตัวเองฉันเหมือนลังเลว่าจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองหรือให้คนอื่นช่วยดี แปลกคนไหมล่ะ?” รอยยิ้มที่ฝืนกล้ำกลืนเผยให้เห็นตั้งแต่เอ่ยออกมาคำแรกจนคำสุดท้ายราวกับกำลังสร้างบรรยากาศให้ตนเองสบายใจด้วยรอยยิ้มปลอม ๆ นั่น
27 มิถุนายน พ.ศ.2576
ฝนยังคงตกข้ามวันข้ามคืนจนน้ำนองเต็มพื้นโดยเฉพาะรอบ ๆ เมืองที่เหมือนโดนน้ำท่วมไปแล้ว
“สายฝนพัดผ่านดั่งพายุ สายลมพัดพามาพานพบ สายน้ำไหลผ่านท่อระบายลงสู่พื้นดิน สาย...”
“สายที่หน้าสักทีไหม? ฉันฟังแล้วยังปวดหัวเลย” คานะพูดขัดเซนเสียก่อนไม่เช่นนั้นเขาคงร่ายบทยาวยันฝนหยุดแน่
“เลิกเล่นกันได้แล้วเราต้องทำงานนะ” ซีโร่ตะโกนเรียกขณะที่กำลังช่วยกันทำแนวกั้นน้ำเพื่อให้ภายในหมู่บ้านไม่ท่วม
“รู้แล้วน่า”
เซนแบกกระสอบทรายวางกั้นตลอดแนวหมู่บ้านไกลหลายกิโลเมตร พอหมดเขาก็จะวิ่งกลับมาเอาไปใหม่ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
“นั่นแหละ ๆ ขยันเข้าไว้” ซีโร่ยิ้มชอบใจเพราะเซนช่วยเบาแรงได้เยอะจนกลับไปนั่งรอยังได้เลยด้วยซ้ำ
“เขาเป็นพวกพลังเหลือล้นแบบนั้นตลอดเลยเหรอ?” ดีน่าถาม
“ใช่...ว่าแต่เธอยังอยู่อีกเหรอเนี่ย?”
“ต้องอยู่สิเพราะเดี๋ยวซึฮากิก็จะกลับมาใช่ไหมล่ะ ถ้าฉันรออยู่ที่นี่ก็จะได้เจออีกแน่นอน”
“แหม...” ฟรานทำเสียงแทรกขึ้นมาเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง
“มีอะไรเหรอ?” ดีน่าหันขวับกลับมาถามทันที
“เปล่าสักหน่อย !” ฟรานตอบกลับเสียงสูงใครได้ยินก็รู้ว่าต้องมีอะไร
“นั่นแน่ ! หึงสิท่า” ซีโร่เข้ามาแทรกกลางทำให้ทุกคนหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขินอายและกลับไปทำงานของตนเองต่อ
อีกด้านหนึ่งซึฮากิก็ยังวุ่นอยู่กับการจัดการปัญหาที่เอลโฟเรีย การขยายเมืองอย่างรวดเร็วทำให้มีปัญหาเข้ามามากมายซึ่งแน่นอนว่ามันมาจากคนที่มากขึ้น
“ตามจับคนไร้บ้านกับพวกว่างงานเอาไปไว้ที่ศูนย์อบรมให้หมด ถ้าไม่ทำงานก็ไล่ออกจากเมืองไปเลย”
“แต่คุณซึฮากิครับ แบบนั้นมันจะดีเหรอครับ? ถ้าประชาชนต่อต้านการกระทำเชิงบังคับแบบนั้นมันอาจจะลามไปถึงการก่อความวุ่นวายก็ได้นะครับ” ชายสูงวัยคนหนึ่งกล่าว
“เราจำเป็นต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด คนไร้บ้านเราก็จะจัดหาที่พักให้ คนไร้งานเราก็จะจัดหางานให้ แต่ก็ยังมีคนที่ประสงค์เป็นคนไร้บ้านไร้งานด้วยตนเองซึ่งทำให้ระบบหลาย ๆ อย่างกระทบไปด้วย พวกเขาสามารถหาเงินได้ด้วยการขอซึ่งทำให้ไม่สามารถตรวจสอบเข้าระบบภาษีได้ บางครั้งก็ใช้วิธีการปล้นขโมยซึ่งก่อให้เกิดความไม่สบายใจแก่ประชาชนคนอื่นได้อีกเช่นกัน และด้วยความที่ไร้บ้านทำให้พวกเขาต้องไปหาที่นอนซึ่งบางครั้งก็ไปแย่งที่นั่งสาธารณะจนไปถึงการตั้งที่นอนในพื้นที่ของคนอื่น”
“รับทราบครับ ผมจะรีบประสานงานทันที”
“ดีมาก วาระต่อไปก็คือการก่อสร้างท่าเรือทั้งสามแห่ง ทุกคนคงจะได้แบบแผนไปอ่านแล้วเฉพาะนั้นฉันจะพูดสั้น ๆ ต่อจากนี้เราจะเปิดทะเลเพื่อกลับไปสู่ยุคขนส่งสินค้าทางทะเลอีกครั้ง”
ชายคนหนึ่งยกมือเพื่อขออนุญาตพูด “ถ้าเกิดพวกมนุษย์เงือกทรยศจะรับมือยังไงครับ?”
“โอกาสที่มนุษย์เงือกจะทรยศมีค่อนข้างต่ำ ด้วยกำลังพลที่ใช้ในสงครามตายไปหมดแล้วทำให้มนุษย์เงือกส่วนใหญ่ที่เหลือรอดคือพลเรือนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึก แถมเรายังมีจ้าวทะเลเป็นพันธมิตรถึงสองคนซึ่งก็มากพอที่จะข่มขวัญแล้ว”
“แล้วจ้าวทะเลพวกนั้นจะทำตามเราแต่โดยดีเหรอครับ?”
“ถ้าเป็นเมอร์ก็คงจะดื้อด้านอยู่บ้างแต่ถ้าเป็นเคนก็คงไม่ทำอะไรแปลก ๆ เช่นนั้นหรอก” ทันใดนั้นเคนก็เข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับนั่งในอ่างน้ำแทนนั่งเก้าอี้และใช้หนวดอันทรงพลังแบกตนเองไปมา
“ฉันชอบของเล่นบนบกมากกว่านะ”
การเข้ามาของเคนทำให้สมาชิกสภานั่งหลังไม่ติดเก้าอี้ ความน่าเกรงขามที่เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามทำให้พวกเขาไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้เขาบอกจะฆ่าเราถ้าไม่เชื่อฟังเหรอครับ?” แม้ซึฮากิจะฟังรู้เรื่องแต่คนอื่น ๆ นั้นไม่ใช่
“ไม่ใช่ ๆ เขาก็แค่บอกว่าชอบของบนบกแค่นั้น”
“จริงเหรอครับ?” แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่กล้าสบตาอยู่ดี
“เอาเป็นว่าเรื่องมนุษย์เงือกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจ้าวทะเลในการควบคุมดูแล หลังจากสร้างท่าเรือเสร็จเราก็จะเตรียมส่งสินค้าทันทีซึ่งสถานที่จะส่งก็คือสามอาณาจักรที่มีการทำข้อตกลงไว้”
“คุณซึฮากิครับ ผู้นำเขตอื่นมาถึงแล้วครับ” ไม่นานนักห้องประชุมที่เคยใหญ่กลับเล็กลงทันทีเมื่อมีคนอยู่หลายสิบคน
“สวัสดีครับคุณซึฮากิ” วาเลี่ยมกล่าวทักทายก่อนใครอาจเพราะเป็นมนุษย์เหมือนกันจึงไม่ค่อยเกร็งเสียเท่าไร
“สวัสดีครับคุณวาเลี่ยม ปริมาณการขายของตู้เย็นยังดีอยู่ใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ แถมรุ่นใหม่ที่คุณซึฮากิส่งมาก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่องเลยครับ การคาดการเรื่องอุปสงค์อุปทานของคุณมันยอดเยี่ยมมาก ๆ จนบางทีผมก็รู้สึกอิจฉาเลย”
หลังจากทักทายกันเสร็จพวกเขาก็เริ่มประชุมกันต่อ
“หลังจากนี้ผมจะเปิดทะเลอีกครั้งซึ่งการเดินทางค้าขายข้ามแดนจะง่ายยิ่งขึ้นทำให้มีการเข้าออกอาณาจักรบ่อยครั้ง เพื่อความสะดวกสบายทั้งด้านคมนาคมและการถ่วงดุลอำนาจผมจึงขอเสนอให้พวกเราตั้งสหพันธ์ด้วยกัน”
“สหพันธ์เนี่ยนะ? ข้าไม่อยากเกลือกกลั้วกับพวกเผ่าอื่นนักหรอก” คิคิยกเท้าขึ้นมาบนโต๊ะประชุมไม่สนใจมารยาทเลยสักนิด
“เหรอ ! เหมือนพวกเราชอบแกมากมั้ง” ฝั่งเอลฟ์ก็เริ่มต่อปากต่อคำและตามมาด้วยเสียงครหาของเผ่าอื่นจนห้องประชุมยุ่งวุ่นวายไปหมด
“ด้วยความกรุณา ผมขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ...” แม้จะเป็นคำขอของซึฮากิแต่ก็ไม่ได้เข้าหูพวกอมนุษย์ป่าเถื่อนเลยสักนิดและยังเริ่มเพ่งรวมมานาขู่กันแล้วด้วย
“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ต้องรวมเป็นสหพันธ์” ซึฮากิสร้างกล่องมานาคลุมทั้งห้องประชุมจากนั้นก็ดึงอากาศหายใจออกทำให้ทุกคนตกใจกระวนกระวาย บางคนก็แทบจะหมดสติเลยด้วยซ้ำยกเว้นแค่เคนที่หายใจในน้ำทะเลเลยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
“ดูเหมือนทุกคนจะเงียบกันแล้วเพราะฉะนั้นเรามาเริ่มคุยข้อตกลงและเหตุผลกันดีกว่า” พอทุกคนตั้งสติได้ซึฮากิก็คลายกล่องมานาออก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 53
แสดงความคิดเห็น