ตอนที่ 436 ภารกิจค้นหา

-A A +A

ตอนที่ 436 ภารกิจค้นหา

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 436 ภารกิจค้นหา

ณ ดาววีนอล 113

ดาวดวงนี้ค่อนข้างที่จะอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของนครหลวงพอสมควร แล้วมันก็เป็นดาวเคราะห์ที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -80 องศาเซลเซียส ทำให้พื้นผิวของดวงดาวถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งแห้งที่หนาทึบ

เนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์เช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้พันธมิตรมนุษย์แทบที่จะไม่ได้ให้ความสนใจกับดาวเคราะห์ดวงนี้เลย แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปหลังจากที่กาแล็กซีแห่งนี้ถูกยึดครองโดยกองกำลังของเซิร์ก

ทาดินี่ออกคำสั่งให้ทหารขุดค้นดาวดวงนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยหลุมที่พวกเขาทำการขุดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 150 กิโลเมตร แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขากำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้ดินของดาวดวงนี้

แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! …

ทาดินี่สวมรองเท้าที่มีเดือยแหลมอยู่ด้านล่างเดินสำรวจรอบ ๆ หน้าจออย่างกระวนกระวาย โดยเขาคอยตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลาต่อเนื่องมามากกว่า 6 ชั่วโมงแล้ว

“ท่านนายพลทีมสำรวจกำลังจะเอาของสิ่งนั้นออกมาแล้วครับ” พลสื่อสารกล่าวรายงานอย่างตื่นเต้น

“ทุกคนตั้งสมาธิให้ดี! ถ้าหากว่ามันมีเรื่องผิดพลาดแม้แต่น้อย ฉันจะตัดหัวพวกแกออกมาให้หมด!!” ทาดินี่ตะโกนออกคำสั่งผ่านระบบขยายเสียงด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด

พลทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ทำได้เพียงแต่เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก เพราะเขารู้ว่านายพลทาดินี่ไม่ได้พูดล้อเล่น

การออกคำสั่งนี้ทำให้พลสื่อสารตระหนักว่าของที่พวกเขากำลังขุดออกมาอยู่มีค่ามากแค่ไหน และท่าทางของทาดินี่ที่กำลังยืนลุ้นก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างเคร่งเครียดมากกว่าในวันที่เขาจู่โจมพันธมิตรมนุษย์เสียอีก คล้ายกับว่าสิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเป็นศพคนรักของทาดินี่เอง

ของที่ถูกขุดออกมาอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ โดยมันได้ถูกยกออกมาจากตำแหน่งใกล้ ๆ แกนดาวเคราะห์อย่างระมัดระวัง และเนื่องมาจากว่ามันถูกห่อหุ้มเอาไว้แบบนี้นี่เอง มันจึงไม่มีใครสามารถสังเกตได้ว่าของด้านในมันคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อพิจารณาจากลักษณะท่าทางของสิ่งของนี้แล้ว มันก็น่าจะเป็นวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านยาวประมาณ 3 เมตร

“ค่อย ๆ ... ค่อย ๆ ยกมันขึ้นมา” ทาดินี่จ้องมองไปที่หน้าจอพร้อมกับพึมพำกับตัวเองเป็นระยะ ๆ ราวกับว่าสิ่งที่กำลังถูกยกขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่เขาให้ความทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ

“ใช่แบบนั้นแหละ... ใช่ ดีมาก... ใช่แล้ว ดีมาก…”

เมื่อไม่กี่เดือนก่อนวิลเลียมเคยสันนิษฐานว่าสาเหตุที่เซิร์กบุกจู่โจมนครหลวงของพันธมิตรในครั้งนี้ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาอาจจะกำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่างที่แม้กระทั่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่

นายพลมนุษย์ทุกคนที่ได้ฟังความเห็นของวิลเลียมต่างก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากจนเกินไป ซึ่งแม้แต่ไทสันที่ไว้ใจวิลเลียมมากที่สุดก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง

อย่างไรก็ตามถ้าหากเหล่าบรรดานายพลในวันนั้นได้มาเห็นภาพเหตุการณ์ในวันนี้ พวกเขาก็จะต้องรู้สึกเสียใจอย่างแน่นอนที่พวกเขาไม่ได้ทำการสำรวจดินแดนของตัวเองโดยละเอียด แล้วใครจะไปคิดว่าสาเหตุที่เซิร์กทำสงครามกับพันธมิตรจริง ๆ หนึ่งในเหตุผลนั้นนั่นก็เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะเข้ามาขโมยของสิ่งนี้

เซิร์กบุกเข้าไปในพื้นที่ของพันธมิตรมนุษย์เพื่อหาสิ่งของอะไรบางอย่างเนี่ยนะ?

ไม่ว่าจะมองยังไงเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องน่าประหลาดมากจนเกินไป?

ทาดินี่ยังคงจ้องไปยังหน้าจออย่างกระวนกระวาย ซึ่งในระหว่างที่วัตถุนั้นกำลังเข้าใกล้ยานรบมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของทาดินี่ก็กำลังเต้นอย่างรวดเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน แล้วมันก็ทำให้ร่างของเซิร์กที่กำลังคอยควบคุมลำแสงขนส่งเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ เพราะเขารู้ว่าถ้าหากว่าเขาพลาดไปแม้แต่เพียงนิดเดียว มันก็คงจะมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่

เวลาทุกวินาทีกลับให้ความรู้สึกยาวนานมากกว่า 1 ทศวรรษ และทันทีที่ห่อผ้านั้นถูกลำเลียงเข้ามาไว้ในยานรบอย่างปลอดภัย พลขนส่งก็ยกมือขึ้นมากุมหัวใจด้วยความตื่นเต้น

“การขนส่งเรียบร้อยแล้วครับ” พลสื่อสารกล่าวรายงาน

ทาดินี่ชกกำปั้นขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างตื่นเต้นราวกับว่าเขาได้รับชัยชนะในการต่อสู้ที่ยากที่สุด

“พลทหารภาคพื้นดินติดต่อเข้ามาเพื่อขออนุญาตขึ้นมาบนยานครับ” พลสื่อสารกล่าวรายงาน

ทาดินี่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยกนิ้วขึ้นมาแสดงท่าทางเชือดคอตัวเอง

เหตุการณ์นี้ทำให้พลสื่อสารรู้สึกตกใจมาก ก่อนที่เขาจะรีบกระจายคำสั่งไปยังยานรบลำอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งคำสั่งที่ทาดินี่แสดงออกมาก็เป็นคำสั่งที่สื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่าใครก็ตามที่ได้เห็นของสิ่งนี้จะต้องตายเพื่อไม่ให้แพร่งพรายความลับของมันออกไป

ปุ่ง! ปุ่ง! ปุ่ง! …

ยานรบหลายสิบลำเริ่มระดมยิงเข้าใส่พลทหารภาคพื้นดินในทันที และทำให้ทหารหลายพันนายที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการขุดค้นเสียชีวิตอย่างฉับพลัน

“ออกคำสั่งไปยังกองยาน พวกเราจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงทันที แล้วรีบเชื่อมต่อเข้าสัญญาณล็อกรหัส ฉันต้องการที่จะแจ้งข่าวดีเรื่องนี้ให้กับท่านราชาอูดี้เป็นการส่วนตัว” ทาดินี่ตะโกนออกคำสั่ง

“ท่านเทพมีคำสั่งอะไรมาถึงพวกเราหรือเปล่า?” ชิววี่กล่าวถามอย่างระมัดระวัง

“ท่านเทพตกใจมากที่มนุษย์อย่างผมสามารถผ่านบททดสอบแห่งความโกลาหลไปได้ จากนั้นท่านจึงเริ่มถามถึงเซิร์กด้วยความเป็นห่วง ผมจึงเล่าทุกเรื่องที่ผมรู้ให้ท่านฟังรวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่เซิร์กกำลังทำสงครามกับมนุษย์ด้วย”

“ท่านเทพเจ้าดำดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อยที่เซิร์กทำสงครามกับมนุษย์แบบนี้ แล้วท่านก็ยังถามเกี่ยวกับพัฒนาการเซิร์กในปัจจุบัน ซึ่งผมก็ตอบท่านไปว่าเซิร์กได้พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาจากเดิมมากแล้ว แต่วัฒนธรรมของเซิร์กยังค่อนข้างล้าหลังที่ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งมากกว่าสติปัญญา”

“ท่านเทพมีความเห็นยังไงบ้าง?” ชานี่กล่าวถามอย่างกระวนกระวาย

“ท่านเทพบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เพราะการมีเพียงแค่ความแข็งแกร่งแต่ขาดวัฒนธรรมจะทำให้เซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่ล้าหลังและไม่สามารถที่จะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้”

“ท่านเทพไม่พอใจการตัดสินใจของอูดี้เช่นเดียวกัน ท่านจึงฝากให้ผมทำงานกับพวกคุณอย่างกล้าหาญเพื่อลอบสังหารอูดี้ให้สำเร็จ จากนั้นท่านก็หวังให้เซิร์กพัฒนาวัฒนธรรมอย่างจริงจัง โดยการส่งทูตไปสานสัมพันธ์และนำเข้าวัฒนธรรมอันดีงามมาจากฝ่ายของมนุษย์”

“ท่านเทพพยายามซักถามเรื่องต่าง ๆ อยู่นาน แต่ผมให้คำตอบเรื่องอื่นกับท่านได้ไม่มากนัก แต่เรื่องหนึ่งที่ท่านเทพกำชับคือท่านต้องการให้เซิร์กพัฒนาอารยธรรมและเลิกพึ่งพาเพียงแต่ความรุนแรงเสียที เพราะท้ายที่สุดในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ยังมีมหาอำนาจที่แท้จริงซ่อนตัวอยู่อย่างมากมาย และเมื่อไหร่ก็ตามที่เซิร์กพลาดไปรุกรานมหาอำนาจเหล่านั้นเข้า ในวันนั้นมันก็จะเป็นวันที่เซิร์กจะถูกกวาดล้างจนสูญพันธุ์”

หลังจากเล่นละครจนจบเซี่ยเฟยก็จุดบุหรี่และสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน โดยเขาได้แต่งเรื่องพวกนี้ขึ้นมาโดยหวังว่าถ้าหากพวกนักปราชญ์สามารถยึดอำนาจได้สำเร็จ พวกเขาก็ควรจะยุติสงครามกับมนุษย์ตามความต้องการของเทพเจ้า

“เรื่องแต่งของนายดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของนายเท่าไหร่นะ” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

“เป็นฉันฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ

“แล้วนายจะเล่าเรื่องที่ไม่มีใครเชื่อออกมาทำไม?”

“ใจเย็น ๆ ฉันยังมีแผนการอย่างอื่นอยู่”

“ท่านเทพบอกเรื่องนี้กับคุณจริง ๆ เหรอ? ว่าท่านสนับสนุนให้พวกเราสังหารอูดี้และต้องการให้เซิร์กเดินทางไปบนเส้นทางของการพัฒนาอารยธรรม?” ชิววี่กล่าวถามอย่างสงสัย

“ผมพูดความจริงทุกประการ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“พูดความเท็จทุกประการล่ะสิไม่ว่า! คนพวกนี้คงจะโง่มากถ้าหากว่าพวกเขาเชื่อในสิ่งที่นายพูด” อันธกล่าวเหน็บแนมมาจากด้านข้าง

ชิววี่ถือได้ว่าเป็นชนชั้นสูงที่ฉลาดมากและเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวของเซี่ยเฟย เพราะเทพเจ้าในเรื่องเล่าของเซี่ยเฟยดูมีความเป็นมนุษย์มากเกินไป แตกต่างจากเรื่องเล่าของเทพเจ้าในตำนานที่พวกเขาเคยได้ยินมา

“ท่านได้พูดอะไรอื่นอีกไหม?”

“มันพอจะมีคำถามแปลก ๆ เรื่องอื่นอยู่บ้าง แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจคำถามนั้นเท่าไหร่นัก” เซี่ยเฟยกล่าวหลังจากแสดงท่าทางครุ่นคิด

“ท่านถามว่าอะไร?”

“ท่านถามว่าทูรอนเป็นยังไงบ้าง?”

ช็อก!

โคตรช็อก!

ผู้ที่นับถือเทพเจ้าขาวเทพเจ้าดำไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์เซิร์กเพียงเผ่าพันธุ์เดียว เพราะในสมัยโบราณเทพเจ้าขาวกับเทพเจ้าดำคอยดูแลทั้งเซิร์กและทูรอนให้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าตั้งแต่สมัยโบราณ และประชาชนชาวเซิร์กส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้เรื่องของทูรอนด้วยซ้ำ แล้วมันก็มีเพียงแต่ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องการคงอยู่ของพวกทูรอน

เซี่ยเฟยเป็นเพียงแค่มนุษย์อายุน้อยแล้วเขาจะรู้ความลับเกี่ยวกับเผ่าทูรอนได้ยังไง?

ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีเพียงแค่หนึ่งเดียวคือเซี่ยเฟยได้พบกับท่านเทพเจ้าดำในตำนานจริง ๆ!!

“คุณตอบท่านเทพไปว่ายังไง?” ชิววี่กล่าวถามอย่างกระวนกระวาย

“ผมบอกว่าผมรู้จักแต่เผ่าพันธุ์เซิร์กไม่รู้จักเผ่าพันธุ์ทูรอน ท่านเทพจึงเริ่มสงสัยและอธิบายลักษณะของเผ่าพันธุ์ทูรอนให้ผมฟัง แต่เนื่องมาจากว่าผมไม่เคยพบกับเผ่าพันธุ์ทูรอนในดินแดนของเซิร์กจริง ๆ ผมจึงตอบท่านเทพเจ้าดำไปตามตรง”

“ใครจะไปคิดว่าคำตอบของผมจะทำให้ท่านเทพเจ้าดำรู้สึกโกรธมาก และท่านก็พูดพึมพำอะไรออกมาบางอย่างคล้ายกับว่าเผ่าพันธุ์เซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ที่โง่เขลาและไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ซึ่งถ้าหากว่าสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเผ่าพันธุ์เซิร์กคงจะต้องหลงเดินทางผิดสักวันอย่างแน่นอน”

“หลังจากพูดจบท่านเทพเจ้าดำก็โบกมือด้วยความโกรธพร้อมกับส่งผมกลับมายังโลกภายนอก ซึ่งในระหว่างนั้นผมได้ยินเหมือนกับว่าท่านจะบอกว่าท่านให้โอกาสนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ตอนนั้นผมกำลังลอยเคว้งคว้างในความมืด ผมเลยได้ยินคำพูดของท่านไม่ค่อยชัดเจนนัก”

ตอนนี้ไม่มีใครกล้าตั้งข้อสงสัยเรื่องเล่าของเซี่ยเฟยอีกต่อไป โดยมันก็ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวราวกับญาติสนิทเสียชีวิต ซึ่งชายหนุ่มก็แสร้งทำเหมือนว่าเขาทำตัวไม่ถูก เมื่อต้องตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันแบบนี้

การโกหกจำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะและความชำนาญ ซึ่งเรื่องโกหกที่สมจริงมันก็จำเป็นจะต้องถูกปะปนเอาไว้ด้วยความจริง ยิ่งถ้าหากว่าความจริงนั้นเป็นความจริงที่โลกรู้กันเพียงแค่ไม่กี่คน มันก็จะทำให้เรื่องโกหกได้กลายเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม

ชายชราเหล่านี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักปราชญ์ในเผ่าพันธุ์เซิร์ก และพวกเขาก็รู้เรื่องในประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้มากที่สุดในบรรดาประชากรในเผ่าพันธุ์

เหล่านักปราชญ์เริ่มสันนิษฐานว่าสาเหตุที่ภูเขาไฮเอนด์ถูกทำลายแบบนี้ นั่นก็เพราะท่านเทพเจ้าดำได้แสดงความพิโรธเพื่อส่งสัญญาณเตือนออกมา และถ้าหากว่าพวกเขายังคงเลือกเดินทางผิดต่อไป สักวันหนึ่งผู้ที่ถูกทำลายก็คงจะไม่ใช่แค่ภูเขาแต่เป็นเผ่าพันธุ์เซิร์กของพวกเขาเอง

อย่างไรก็ตามการที่ท่านเทพสนับสนุนให้พัฒนาอารยธรรมก็ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการยึดครองบัลลังก์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถ้าหากว่าพวกเขาจัดการเรื่องนี้อย่างประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี บางทีท่านเทพก็อาจจะมายืนเคียงข้างพวกเขาเหมือนดังตำนานที่เล่าขานตั้งแต่สมัยโบราณ

นักปราชญ์หลาย ๆ คนแอบตัดสินใจที่จะใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดในตระกูลของพวกเขาเพื่อจัดการภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ และพวกเขาก็มองมาที่เซี่ยเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพมากยิ่งขึ้น เพราะเซี่ยเฟยไม่ต่างไปจากผู้รับสารจากเทพเจ้า  ซึ่งมันก็ทำให้ตัวตนของเขาไม่ต่างไปจากนักบวชชั้นสูงในศาสนาต่าง ๆ

“เรื่องโกหกของนายกลายเป็นเรื่องจริงสำหรับพวกเขาแล้วสินะ เมื่อมันเป็นพระประสงค์จากเทพเจ้า คนพวกนี้ก็คงจะทำได้เพียงแต่พยายามกำจัดอูดี้อย่างไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้” อันธกล่าวพร้อมกับยกนิ้วให้กับเซี่ยเฟย

แต่ในทันใดนั้นมันก็มีใครบางคนเดินเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับกระซิบข้อความที่หูของชิววี่เบา ๆ ซึ่งมันก็ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในทันที

“ทุกคนฉันมีข่าวร้ายจะมาแจ้งให้ทราบ สิ่งที่อูดี้สั่งการให้ทาดินี่ค้นหาในนครหลวงของมนุษย์ถูกหาเจอแล้ว และตอนนี้ทาดินี่ก็กำลังมุ่งหน้าตรงกลับมาที่เมืองหลวง” ชิววี่กล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง

***************

มันคืออะไรกันแน่ ทำเอาอยากรู้เลยเนี่ย!

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ พิทักษ์ภัยภูมิ

มันคือเทคโนโลยีอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่ก็หุ่นยนต์

รูปภาพของ Xianaan_Stone

นั่นนะสิ ดูสำคัญมากๆเลยเน๊าะ

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.