STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 14 กล่อมนอน
เมื่อถึงเวลาเหล่าหัวหน้าหน่วยก็มายืนหน้ากระดานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยมีซึฮากิยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อชี้แจงแผนการอีกครั้ง
“อย่างที่บอกไป ทุกหน่วยจงทำหน้าที่ของตนเองและอย่าตามพวกมันลงไปใต้น้ำลึกเด็ดขาด”
“เยสเซอร์ !” เซนทำวันทยหัตถ์ตอบกลับทำให้คนอื่น ๆ ทำตามบ้างเพราะนึกว่าเป็นสัญลักษณ์เรียกขวัญกำลังใจก่อนออกรบ
กองกำลังกว่าสามพันคนได้เคลื่อนทัพสู่ท้องทะเลของเคนและขณะเดียวกันพวกมนุษย์เงือกที่เป็นพันธมิตรก็ขึ้นมารอคำสั่งที่ริมชายหาด
หน่วยสนับสนุนที่หนึ่งนำโดยคานะซึ่งเป็นการสนับสนุนการโจมตีระยะไกลที่วางกำลังอยู่บนผาสูงติดทะเล
“กล้องพร้อม กระสุนพร้อม มานาพร้อม ระยะหวังผลสองพันเมตร หน่วยสนับสนุนที่หนึ่งพร้อม” คานะรายงานผ่านวิทยุ
ส่วนหน่วยสนับสนุนที่สองคือหน่วยแพทย์สนามที่นำโดยเฮร่า
“ตอนนี้หน่วยย่อยได้ไปประจำตำแหน่งกันหมดแล้ว...หน่วยสนับสนุนที่สองพร้อม” แม้เธอจะดูมึนงงกับอุปกรณ์แปลกตาแต่ก็พอจะเข้าใจวิธีใช้งานอยู่
หน่วยแนวหน้าที่นำโดยแคทเทอรีนคู่กับฟรานลงเรือลำเล็กแบ่งเป็นหลาย ๆ ลำล่องออกจากชายฝั่ง
“หน่วยย่อยทั้งหมดลงเรือแล้ว” ฟรานรายงานกลับไปหาซึฮากิ
อีกด้านหนึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนแนวหน้านำโดยเคนและลุงโทลซึ่งจะแบ่งแยกเป็นหน่วยย่อยอีกหลายหน่วยตั้งแต่หน่วยภาคพื้นดิน หน่วยเรือและหน่วยบิน
“หน่วยสนับสนุนแนวหน้าพร้อมรบ”
หลังจากทุกหน่วยประจำตำแหน่งกันหมดก็เริ่มเดินเรือเกรย์เอลโฟเรียอีกครั้ง
“ท่านรินครับ มีเรือขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนไปกลางน่านน้ำแล้วครับ” มนุษย์เงือกคนหนึ่งว่ายน้ำกลับมารายงานอย่างรวดเร็ว
“แหม ๆ ขนาดเตือนไปแล้วก็ยังดื้ออีกแฮะ...แต่ก็ดีตรงที่จะได้มีข้ออ้างในการกวาดล้างน่านน้ำนั่นซะ ให้กองกำลังแรกบุกไปจมเรือของมันได้เลย”
“ครับ !”
เมื่อได้รับคำสั่งเหล่ากองทัพก็เริ่มเคลื่อนไหวซึ่งมีมนุษย์เงือกเผ่าปลาดาบเป็นแกนนำในการโจมตีระลอกแรก พวกเขาว่ายน้ำไปพร้อม ๆ กันราวกับเป็นคลื่นสึนามิที่กำลังมุ่งหน้าไปหาเรือเกรย์เอลโฟเรีย
“เรืออยู่ข้างหน้าแล้วยกอาวุธขึ้นมา” พวกเขาชูมือดาบขึ้นมาตรงหน้าพร้อมกับเพ่งรวมมานาเสริมกำลังอัดแน่นไปที่คมดาบพวกนั้น
แม้จะอยู่ไกลแต่กองกำลังของซึฮากิก็สังเกตเห็นคลื่นมนุษย์เงือกเหล่านั้นได้ และมันก็กำลังจะปะทะกับเรือในไม่ช้า
“เริ่มเลย” ซึฮากิสั่งการผ่านหินสื่อสารทำให้เครื่องบินรบกว่าสิบห้าลำทิ้งระเบิดลงมาอย่างกับห่าฝน เสียงระเบิดและแรงสั่นสะเทือนดังออกไปไกลหลายสิบกิโลเมตรราวกับท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมา
หลังจากคลื่นสงบก็เผยให้เห็นทะเลสีแดงที่มีเศษซากกระจัดกระจายไปทั่ว แม้จะยังมีบางส่วนที่รอดชีวิตแต่พวกฟรานก็ตามมาไล่เก็บก่อนจะตั้งตัวได้ทัน
“แนวหน้าฟรานรายงาน มนุษย์เงือกกองเมื่อกี้โดนกำจัดหมดแล้ว”
“ดีมาก ตอนนี้ถอยออกก่อนเพราะอีกไม่นานพวกนั้นจะส่งคนมาเพิ่ม” ซึฮากิคอยสอดส่องสถานการณ์โดยการใช้แฟรงค์แบ่งวิสัยทัศน์ร่วมกับกล้องส่องทางไกลและการตรวจจับมานา
ใช้มนุษย์เงือกเผ่าดาบที่มีความสามารถในการเจาะทะลวงสูงเพื่อจมเรือก่อน สงสัยจะได้ข้อมูลว่าเรือมีบาเรียป้องกันก็เลยใช้แผนนี้ ส่วนคนที่ให้ข้อมูลก็คงเป็นจ้าวทะเลที่รอดไปได้หรือไม่ก็สำนักมนตร์ดำ
อีกด้านหนึ่งพวกมนุษย์เงือกก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของคลื่นน้ำ แค่ได้สัมผัสหรือได้ยินก็ต้องสั่นกลัวเพราะมันรุนแรงกว่าการทำสงครามที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ความคิดอย่างเดียวในใจก็คือใครเป็นคนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้ถึงขนาดนั้นกันแน่
“กองกำลังที่หนึ่งของเราโดนเก็บเรียบเลยครับ” มนุษย์เงือกที่มารายงานก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะกลัวจะโดนลงโทษแต่รินก็แค่ถามกลับหนึ่งคำถาม
“จมเรือลำนั้นได้ไหม?”
“มะไม่ครับ”
เธอหันหลังให้กับหน่วยรายงานข่าวทำเหมือนเขาไม่มีค่าให้ฟังอีกต่อไปแล้ว
แรงระเบิดเมื่อกี้ต้องเป็นผู้มีเลเวลเก้าขึ้นไปแน่ ๆ เพราะขนาดวิทยาการของอาณาจักรโรปก็ยังไม่อาจสร้างสิ่งที่เทียบเท่าผู้มีเลเวลเก้าได้เลย ฝีมือของเคนเหรอ ไม่สิเขาถนัดการต่อสู้ระยะประชิดและไม่มีเวทมนตร์อะไรที่สร้างความเสียหายวงกว้างได้ขนาดนั้น
“หน่วยข่าวกรองมาหรือยัง?”
“ยังเลยครับ ทั้งทางบกและทางน้ำต่างก็ยังไม่กลับมารายงานอะไรเลยครับ”
หน่วยข่าวกรองที่ได้รับการฝึกจากสำนักมนตร์ดำทำงานพลาดเนี่ยนะ หรือที่บอกว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นแค่เรื่องโม้โอ้อวด
“กระจายกองกำลังสองเป็นเจ็ดกลุ่มและเว้นช่วงการบุกสองร้อยเมตร กองกำลังสามและสี่ก็ทำแบบเดียวกัน พอเข้าไปในอาณาเขตของพวกมันได้ก็กระจายกำลังล้อมเรือไว้ ถ้าหากมันจะโจมตีก็ต้องเลือกว่าจะจัดการทางไหนก่อน”
“ครับ !”
ถ้าเป็นเวทมนตร์ที่กินรัศมีเยอะ ๆ ก็จะเสี่ยงโดนเรือตัวเองไปด้วย หรือถ้าจะเลือกเฉพาะจุดที่ต้องใช้ก็จะเลือกได้ไม่ครอบคลุมนอกจากจะมีผู้ที่ใช้เวทมนตร์แบบนั้นได้อีกสักสามสี่คน ยังไงนั่นก็เป็นกองกำลังส่วนหนึ่งต่อให้โดนกำจัดเรียบก็แค่ส่งหน่วยถัดไปเข้าไปแทน
“ระหว่างนี้ให้เตรียมการจู่โจมระยะไกลไว้และตามเข้าไปโดยรักษาระยะห่างสองกิโลเมตร”
“รับทราบค่ะ” มนุษย์เงือกเผ่าเปลือกแข็งกว่าหนึ่งหมื่นคนเคลื่อนย้ายทัพไปรอสัญญาณจากแนวหน้า
เมื่อซึฮากิสังเกตเห็นออร่ามานาจำนวนมากกำลังผ่านเข้ามาในอาณาเขตจึงรายงานไปยังหน่วยแนวหน้าทันที
“หน่วยแนวหน้าเอาเรือเล็กขึ้นเกรย์เอลโฟเรียให้เสร็จภายในสองนาที ย้ำ ! ให้เสร็จในสองนาที”
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมแต่เมื่อได้รับคำสั่งพวกเขาก็ต้องทำตามโดยทันที ในเวลาไม่สองนาทีพวกเขาก็นำเรือขึ้นเกรย์เอลโฟเรียได้ หลังจากนั้นเรือก็มีสัญญาณไฟแดงเตือนก่อนจะมีปืนใหญ่โผล่ออกมารอบ ๆ ตัวเรือ
“ยิงได้ทันทีจนกว่าฉันจะบอกให้หยุด”
เหล่าร่างโคลนที่ประจำการอยู่บนเรือเปิดฉากยิงปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง บางจังหวะก็มีพวกมันเล็ดลอดเข้ามาในจุดบอดของปืนใหญ่ได้ก็จะมีปืนอัตโนมัติที่ติดอยู่รอบเรือช่วยยิงสกัดเพื่อให้หน่วยแนวหน้าจัดการได้ง่าย ๆ
ดูเหมือนพวกที่เหลือจะไม่กล้าเข้ามาใกล้ระยะยิงสินะ แต่คงไม่รู้ว่าระยะหวังผลของปืนใหญ่มันมากกว่าที่คิดไว้
ขณะที่เสียงปืนใหญ่เงียบลงเหมือนกำลังจะกลับมาสงบอีกครั้งแต่จู่ ๆ พวกร่างโคลนก็เริ่มยิงอีกหลายระลอกเพื่อกวาดล้างศัตรูที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่กองกำลังจู่โจมระยะไกลของรินได้เห็นก็คือสุสานมนุษย์เงือกที่มีแต่เลือดและซากศพไม่สมประกอบเต็มไปหมด
“จังหวะนี้แหละ พวกมันต้องเสียมานาไปเยอะแน่ ๆ ถ้าใช้เวทมนตร์ใหญ่ติด ๆ กันขนาดนี้” หนึ่งในหัวหน้าทีมมนุษย์เงือกกล่าว หลังจากนั้นพวกเขาก็ว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วยิงกระสุนวายุในระยะหนึ่งกิโลเมตรโดยเล็งไปที่เรือลำยักษ์ลำนั้น
กระสุนวายุเหล่านั้นปะทะกับบาเรียของเรือที่หนาถึงเก้าชั้นไม่ใช่อะไรที่จะทำลายได้ง่าย ๆ
“เรือมันไม่เป็นอะไรเลย...” แม้จะยิงใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่บาเรียกลับไม่มีท่าทีจะสลายไปเลยแม้แต่น้อย
“ยิงต่อไป คนของเรามีเยอะกว่ายังไงมานาพวกมันก็ต้องหมดก่อน...” ขณะที่กำลังสนใจแต่เรือเกรย์เอลโฟเรียก็มีบางสิ่งลอยข้ามมาจากหน้าผาติดทะเล
หน่วยสนับสนุนโจมตีระยะไกลที่คานะเป็นคนคุมได้ยิงศรเวทมนตร์ใส่ซึ่งกำจัดพวกมนุษย์เงือกได้ถึงหนึ่งพันคน
“ศัตรูอยู่บนผาทางขวา !” หัวหน้าทีมมนุษย์เงือกตะโกนสั่งพร้อมกับยิงกระสุนวายุจากมือแข็ง ๆ ที่เหมือนกล้ามของปู
“เล็งสูงขึ้นอีก...” พูดไม่ทันขาดคำเธอก็โดนคานะยิงปืนสไนเปอร์เข้าหัวตายเสียก่อน หลังจากที่หัวหน้าทีมตายทำให้ลูกน้องในทีมทำอะไรไม่ถูก
โห่ มีคนซุ่มโจมตีจากระยะไกลด้วย รินที่แอบตามหลังมาเพ่งสายตามองพร้อมด้วยรอยยิ้มแสยะเหมือนคิดแผนรับมือได้แล้ว
คงไม่มีทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากที่นั่น
“ใช้รูปแบบที่สามยื้อไว้ ฉันจะไปที่ที่หนึ่งก่อน” รินให้คำสั่งสุดท้ายไว้ก่อนจะว่ายน้ำจากไปพร้อมกับกล่องเก็บกุญแจนั่น
เหล่ามนุษย์เงือกเปลือกแข็งที่เหลือรอดดำน้ำหนีทำให้พวกคานะมองหาตำแหน่งไม่เจอ
“หัวหน้าหน่วยคานะรายงาน ตอนนี้พวกมนุษย์เงือกดำน้ำหนีไปแล้ว” คานะกล่าวผ่านวิทยุสื่อสารด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ให้เตรียมพร้อมไว้จนกว่าฉันจะสั่งให้วางอาวุธ พวกมันยังอยู่ใต้น้ำรอจังหวะโจมตีเราอยู่” ซึฮากิออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสารโดยที่ตัวเขากำลังใช้เวทมนตร์ตรวจจับจึงเห็นออร่ามานาของมนุษย์เงือกที่ว่ายไปมาใต้น้ำ
กองกำลังของรินได้เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีจากการบุกทะลวงกลายเป็นการลอบกัดแทน พวกเขาใช้พื้นที่ที่ชำนาญเป็นข้อได้เปรียบโดยการดำลึกลงไปให้อยู่นอกวิสัยทัศน์จากนั้นก็พุ่งขึ้นมาโจมตีเรือเกรย์เอลโฟเรีย แม้จะยังเจาะบาเรียของเรือไม่ได้แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรเหมือนกัน
“ถ้าฉันใช้เวทมนตร์วารีได้คล่องกว่านี้ก็อาจจะทำแบบเดียวกับคานะได้” ฟรานก้มมองเรือถูกโจมตีเรื่อย ๆ โดยที่ตนเองพยายามหาจังหวะโต้กลับอยู่
“อย่าพึ่งผลีผลามทำอะไรเลย ถ้าลงไปสู้กับพวกมันในน้ำมีหวังจมน้ำตายก่อนแน่ ๆ” แคทเทอรีนเดินมาตบบ่าช่วยให้ฟรานสงบสติอารมณ์ลงได้
“ค่ะ ขอบคุณที่เตือน” ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดฟรานก็ทำได้แค่กอดวิทยุสื่อสารไว้รอคำสั่งจากซึฮากิ
ขณะเดียวกันซึฮากิก็ได้วิ่งลัดเลาะไปตามชายหาดเพื่อใช้เวทมนตร์ตรวจจับคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
พวกมันเน้นไปที่การกระจายตัวและส่งคนมาทีละน้อย ๆ เพื่อเลี่ยงการถูกระเบิดตาย แถมมนุษย์เงือกส่วนใหญ่ที่ส่งมาจะเป็นประเภทที่มีความคล่องตัวสูงและเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เป็นแผนการรับมือการทิ้งระเบิดได้ดีแต่เพราะพวกเราไม่ถนัดสู้ในน้ำก็เลยทำได้แค่ป้องกันเฉย ๆ ลองไปใช้วิธีนี้กับมนุษย์เงือกด้วยกันสิ คงจะโดนสวนกลับแบบทันทีเลย
ซึฮากิหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด “เรียกหน่วยสนับสนุนแนวหน้าเคน ให้หน่วยย่อยมนุษย์เงือกและเคนเข้าปะทะกับพวกมันที่ข้างใต้เรือเกรย์เอลโฟเรีย รัศมีการปะทะอยู่ที่หนึ่งกิโลเมตรจากเรือแต่หากกำจัดพวกมันไม่ทันก็ปล่อยไปได้เลย”
“รับทราบ”
มนุษย์เงือกฝ่ายพันธมิตรพุ่งเข้าสู่สนามรบโดยมีเคนเป็นหัวหน้านำทัพ การต่อสู้ของมนุษย์เงือกในน้ำที่ชาวแผ่นดินไม่สามารถทำได้จึงได้แต่ส่งกำลังใจช่วยเท่านั้น
ส่งมาแค่หลักร้อยคนเองเหรอ ถ้าแค่นี้ฉันคนเดียวก็พอแล้ว เคนพุ่งเข้าใส่มนุษย์เงือกเหล่านั้นอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับใช้หนวดทั้งแปดเส้นกระชากหัวหลุดในครั้งเดียว ทั้งความรวดเร็วและความแม่นยำของการใช้หนวดทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเหมือนคลื่นโซน่าที่ตรวจจับพร้อม ๆ กับสังหารศัตรูไปด้วย
อีกด้านหนึ่งพวกแม่ทัพของรินก็ได้รับรู้ว่าเคนลงมาสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาปรึกษาหารือกันเองโดยไม่มีรินขณะที่พรรคพวกตนเองกำลังตายไปเรื่อย ๆ
“ถึงท่านรินจะสั่งให้ใช้กลยุทธ์ที่สามก็เถอะแต่เพราะจ้าวทะเลเคนทำให้กลยุทธ์นี้เป็นการสูญเสียกำลังพลเปล่า ๆ” มนุษย์เงือกหนุ่มที่มีรูปร่างผอมเพรียวจนถึงขั้นแบนราบราวกับเป็นกระดานมีชีวิตกล่าว
“ฉันก็เห็นด้วย กลยุทธ์สะกิดที่เคยใช้จมเรือพวกชาวแผ่นดินเอามาใช้กับมนุษย์เงือกด้วยกันไม่ได้ แถมพวกนั้นยังเป็นเคนหนึ่งในจ้าวทะเลอีก” มนุษย์เงือกสาวที่มีเรือนร่างส่องสว่างตลอดเวลากล่าว
“แล้วเราจะใช้แผนไหนล่ะ? แล้วถ้าเกิดไม่ทำตามคำสั่งของท่านรินเราก็อาจจะโดนลงโทษก็ได้” มนุษย์เงือกสูงวัยที่มีหัวสองหัวติดกันกล่าว
“ลุงก็อยู่กับท่านรินมานานแต่ไม่รู้เหรอว่าเธอจะทำยังไงในสถานการณ์นี้” มนุษย์เงือกสาวร่างยักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะหยอกล้อ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เราไม่เคยสู้กับเคนโดยเฉพาะเคนที่ร่วมมือกับชาวแผ่นดิน ทั้งกำลังพลและความสามารถเราก็ยังระบุไม่ได้เลย”
“ถ้าเป็นเรื่องข้อมูลทางเราก็ส่งเจ้าบาร์โดไปหามาแล้วนี่ แต่ก็ดันไม่กลับมาเสียได้สงสัยจะตายไปแล้ว” จากรอยยิ้มเยาะเปลี่ยนเป็นแบะปากหงุดหงิด
“เจ้านั่นเนี่ยนะจะตาย แค่หาตัวยังยากเลย” มนุษย์เงือกหนุ่มตัวผอมเพรียวเหมือนกระดานกล่าว
“ถ้างั้น...เราจะเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์กำแพงเพื่อต่อสู้กับพวกเคนก่อน ถ้าเกิดสู้ไม่ไหวเราก็คงต้องเข้าไปช่วย” มนุษย์เงือกสองหัวกล่าวก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้ายอมทำตามแผน
ขณะเดียวกันรินก็ตรงดิ่งไปหาพวกแม็กซ์ที่ไล่ล่าบลูอยู่ทางเขตเหนือ
ช้าเกินไปแล้ว ทั้ง ๆ เราให้เครื่องส่งเสียงรบกวนไปด้วย ถ้าเครื่องไม่พังอีกฝ่ายก็คงจะหนีหัวซุกหัวซุนแน่นอน
ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเธอก็มาถึงอาณาเขตของบลูซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตน้ำแข็ง ถ้าเป็นมนุษย์เงือกที่ไม่เคยพบเจอสภาพน้ำเช่นนี้มาก่อนก็คงช็อกตายไปแล้ว
มีทั้งคนของเราแล้วก็คนของบลูด้วย คงมีการปะทะกันที่นี่แล้วลากไปที่อื่นต่อ
ยิ่งเธอขึ้นเหนือเข้าใกล้ศูนย์กลางอาณาเขตเท่าไรก็ยิ่งได้พบเจอซากศพมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อไปถึงดินแดนของบลูก็มีเหล่ามนุษย์เงือกฝ่ายพันธมิตรประจำการอยู่
“สวัสดีครับท่านริน” เขาตั้งตัวตรงกล่าวทักทายด้วยสีหน้าเกร็ง ๆ
“แม็กซ์กับไคไปไหนแล้ว?”
“พวกเขาตามหาจ้าวทะเลบลูกันอยู่ครับ ก่อนหน้านี้พวกเราคลาดสายตากับเธอไปก็เลยหาตัวไม่เจอสักที”
“ให้ตายสิ ตัวก็ออกจะใหญ่ทำไมถึงคลาดสายตากันง่าย ๆ แบบนี้ แต่เอาเถอะถ้าพวกจับบลูได้เมื่อไรก็ให้ไปสมทบกันที่อาณาเขตของเคนก็แล้วกัน”
“ครับท่านริน”
พูดจบรินก็ว่ายน้ำกลับไปที่อาณาเขตของตนเองซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรคา ที่ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้จะมีคนของสำนักมนตร์ดำประจำการอยู่ซึ่งรินก็ได้เข้าไปทักทายพร้อมกับส่งข้อความไปถึงเจ้าสำนัก
ข้อมูลที่ขอมารอบก่อนก็แค่เรื่องเรือกับจำนวนทหารของพวกมัน แต่พอได้เห็นวิธีการต่อสู้แล้วก็เลยต้องคิดแผนใหม่หมดเลย รินยืนรออยู่ริมชายหาดจนกระทั่งเจ้าสำนักโยฮันมาถึง
“เห็นว่าช่วงนี้กำลังยุ่ง ๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ?” คำกล่าวทักทายที่มาพร้อมกับสีหน้ายียวนทำให้รินชักสีหน้าใส่
“ฉันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับกำลังพลของพวกเอลโฟเรียอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ขอแบบละเอียด ๆ หน่อยเถอะ”
“ได้สิแต่ถ้าละเอียดขนาดนั้นเราคงต้องเก็บค่าธรรมเนียมด้วยนะ”
“อย่ามาเล่นลิ้นเลยโยฮัน ถ้าพวกฉันไม่ยอมให้พวกนายเดินทางข้ามทะเลได้คิดว่าพวกนายจะส่งข้อมูลให้กันและกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แหม...ก็แค่แซวเล่นนิดหน่อยเอง ถ้าเป็นเมืองเอลโฟเรียเราก็ไม่ค่อยมีข้อมูลเหมือนกันแต่ถ้าเป็นคนของที่นั่นเราก็พอมีอยู่”
“อะไรก็ได้รีบ ๆ บอกมาเถอะ” รินเดาะลิ้นหงุดหงิดกับท่าทางกวนประสาทของโยฮัน
“ก่อนอื่นก็คือซึฮากิที่เป็นเจ้าเมืองเอลโฟเรียและถ้าให้พูดตรง ๆ เขาก็คงเป็นปัญหาใหญ่สุดแล้วล่ะ ด้วยความสามารถในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจลงมือทำทันทีทำให้เขาสามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลจากสาขาอื่นก็เลยได้รู้ว่าเขายังเป็นแกนนำในการกวาดล้างสำนักมนตร์ดำสาขาอาณาจักรอาฟอีกด้วย...”
“ช่วยพูดให้มันกระชับหน่อยสิ” ขณะที่โยฮันกำลังเล่าวีรกรรมของซึฮากิก็ดันโดนรินพูดขัดเสียก่อน
“ก็ได้ ๆ ซึฮากิ ฮลาฟกาด มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์วายุกับมนตร์ดำซึ่งมีทั้งการสร้างร่างปลอมและปลอมตัวได้ด้วย ส่วนอีกสองคนที่พึ่งทำผลงานได้ดีจนทุก ๆ คนต้องรู้จักก็คือเซนและคานะ พวกเขาสองคนคือผู้พิชิตดันเจี้ยนบททดสอบ คานะถนัดใช้ธนูกับเวทมนตร์วารี ส่วนเซนถนัดใช้ดาบมือเดียวกับเวทมนตร์เพลิงและยังมีเดอะไฟเออร์ที่เคยถือครองโดยนักปฏิวัติแอสต้า”
หลังจากยืนคุยอยู่นานในที่สุดโยฮันก็อธิบายความสามารถของเหล่าผู้นำหรือระดับหัวหน้าให้ฟังทั้งหมด
“เหมือนจะเห็นคนที่ชื่อคานะแล้วแต่นอกจากธนูเธอก็ยังใช้อาวุธแปลก ๆ อีกอย่างด้วย”
“อาวุธอะไรเหรอ?” โยฮันตาลุกวาวจ้องมองตาไม่กะพริบ
“ฉันไม่รู้ แถมมันยังอยู่ไกลเกินจะเก็บรายละเอียดได้ด้วย”
“อา...น่าเสียดายจริง ๆ แล้วการทำสงครามไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“ยังอยู่ในช่วงล้วงข้อมูลกันและกันอยู่ ถ้าใครเผยไพ่ออกมาหมดก่อนก็จะเป็นฝ่ายแพ้ไปและดูจากลักษณะนิสัยของเจ้าซึฮากินั่นคงจะใช้แผนตื้น ๆ ทำอะไรไม่ได้แน่”
“ก็เลยจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกเราสินะ”
“ใช่” แม้จะไม่อยากยอมรับแต่เธอก็ต้องทำเพื่อชัยชนะในครั้งนี้ พวกเขาช่วยกันวางแผนอย่างละเอียดยิบหาช่องโหว่ที่จะเล่นงานกองทัพของเอลโฟเรีย
อีกด้านหนึ่งเมอร์ที่หลบหนีออกจากการปิดล้อมของมนุษย์เงือกได้สำเร็จเธอก็เลยตรงดิ่งไปหานายหญิงที่เกาะร้างเกาะเดิม
ไม่มีเลย นายหญิงหายไปไหน
เธอว่ายน้ำไปรอบ ๆ เกาะแต่ก็หาหญิงสาวที่ตนเองฝากตัวรับใช้ไม่ได้ จนสุดท้ายก็ต้องกลับไปที่บ้านเงียบ ๆ อีกครั้งเพราะบริวารผู้ซื่อสัตย์โดนสังหารไปหมดสิ้นแล้ว
เพราะเราประกาศสงครามเหรอ หรือพี่รินอยากจะทำแบบนี้อยู่แล้วกันแน่ แล้วทำไมถึงอยากได้อาวุธของคุณปู่ถึงขนาดนั้นด้วย ตลอดช่วงเวลาแห่งความเงียบสงัดทำให้เมอร์ได้คิดทบทวนกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป
ทำไมคุณปู่ต้องแบ่งเขตแดนแล้วก็กุญแจบ้า ๆ นั่นด้วยนะ ทั้งพ่อทั้งแม่ต่างก็ตายในการทำสงครามชิงอาณาเขตกันจนสุดท้ายเราก็ได้สืบทอดตำแหน่งจ้าวทะเลมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ความสามารถก็ไม่มีและความมุ่งมั่นก็เป็นศูนย์ไม่มีเหตุผลที่เราต้องมารับตำแหน่งนี้เลยด้วยซ้ำ
เธอค่อย ๆ ลอยไปตามกระแสน้ำปล่อยวางร่างกายแล้วตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
ช่วงชีวิตวัยเด็กที่เหมือนสวรรค์ เธอได้เฝ้ามองหน้าพ่อหน้าแม่ที่กำลังยิ้มหัวเราะอย่างสนุกสนานโดยมีคุณปู่ยืนมองอยู่ไม่ห่าง แม้ตัวเธอจะเด็กมากก็จริงแต่ก็พอจะจำความได้บ้างโดยเฉพาะเรื่องสำคัญ ๆ ที่กระทบจิตใจเธออย่างหนัก
“ท่านพ่อท่านแม่หายไปไหน?” เด็กสาวตัวน้อยกล่าวด้วยเสียงสะอื้นทำท่าเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
“พวกท่านออกไปเที่ยวกันครับอีกไม่นานก็จะกลับมาแล้ว” คนดูแลฝืนยิ้มตอบเพื่อให้เด็กน้อยสบายใจซึ่งก็ได้ผล
แต่แล้วไม่ว่าจะนานกี่วันกี่คืนท่านพ่อและท่านแม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย จนเธอเริ่มโตขึ้นจึงค่อย ๆ รู้ความจริงด้วยตนเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นและสิ่งที่ทำได้ก็คือทำใจแล้วใช้ชีวิตต่อไป
ป่านนี้พวกท่านจะยังสบายดีอยู่หรือเปล่าคะ คำถามที่อัดอั้นไว้ในใจที่เป็นเพียงแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เพื่อให้ตนเองยังรอคอยอยู่ทุกวันนี้ ต้องโกหกและปิดกั้นการรับรู้ความจริงแล้วเฝ้าภาวนาต่อไป
ขอบคุณนายหญิงที่ช่วยปลอบใจเราอีกคน คำพูดสั้น ๆ แค่ไม่กี่คำมันกลับทำให้เรารู้สึกดีได้ถึงขนาดนี้แต่ตอนนี้เราคงไม่มีโอกาสได้ฟังอีกแล้วสินะ
เมื่อครั้งตอนที่เมอร์ได้พูดคุยกับเนเน่เธอก็ได้ปรับความเข้าใจว่าการมาของจอมมารไม่ได้มาเพื่อกวาดล้างหรือยึดอะไรไป สิ่งที่จอมมารแห่งเสียงต้องการก็คือพื้นที่พักผ่อนเพียงเท่านั้น
“ในเมื่อไม่อยากทำก็แค่สละตำแหน่งให้คนอื่นไปสิ หรือว่าเธอจะยึดติดเรื่องอะไรอยู่?” เนเน่ถาม
“ค่ะ” น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยทำให้เนเน่รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอยึดติดกับอะไรอยู่...แต่ฉันเชื่อว่าเธอจะบรรลุเป้าหมายได้ในสักวันหนึ่ง”
เหล่าจ้าวทะเลคนอื่นมักจะพูดถึงการตายของจ้าวทะเลรุ่นก่อนว่าหายสาบสูญไปและก็ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนสังหาร จุดประสงค์ที่เมอร์ยังดำรงตำแหน่งอยู่ก็เพื่อตามหาสาเหตุหรือใครก็ตามที่รู้เรื่องคุณพ่อคุณแม่ซึ่งคนที่พยายามช่วยเหลือมาตลอดก็คือพี่ริน
“ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะแต่จะพยายามหาเบาะแสให้”
ใครจะคิดว่าคำกล่าวอันนุ่มนวลเหล่านั้นจะมาจากคนเดียวกับที่ทำกับตนเองได้ถึงขนาดนี้ คำพูดอันสวยงามแต่กลับแฝงไปด้วยหนามกุหลาบค่อย ๆ สนิทสนมจนเชื่อสนิทใจแต่สุดท้ายกลับเป็นเธอเสียเองที่โดนล่อลวงมาตลอด
“อา !” เมอร์สลัดความคิดออกจากหัวพร้อมกับตบหน้าตนเองไม่หยุดจนกว่าจะเลิกคิดเรื่องพวกนั้น
“สู้สิวะในเมื่อเราไม่เหลืออะไรให้สูญเสียอีกแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงใครอีกต่อไป”
เมอร์ว่ายน้ำตรงดิ่งไปอาณาเขตของเคนแต่กลับเจอกองทัพกำลังเตรียมพร้อมรบอยู่
นี่พวกเขายกคนมาทั้งหมดเลยเหรอ เมอร์ยังต้องตกใจกับจำนวนกองทัพมหาศาลที่มากเกินกว่าจะคาดเดาจำนวนได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 140
แสดงความคิดเห็น