บทที่ 15: ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นของเจ้า
“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้ แต่มันผ่านมาตั้ง 15 ปีแล้ว ข้าเกรงว่ามันอาจจะยากสักหน่อย” จวินหรูเย่ที่เห็นว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรซับซ้อนกว่านั้นก็ขันอาสาที่จะช่วยสืบหาความจริง
“ข้าเข้าใจ แค่ทำให้เต็มที่ก็พอ ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตาจะพาไป”
เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางหวังว่าจะสามารถค้นพบความจริงของเรื่องราวทั้งหมดและไขปริศนาประสบการณ์ชีวิตของเจ้าของร่างเดิมได้
“จริงสิ เจ้าแต่งงานเข้ามาในจวนเพียงลำพังโดยไม่มีสาวใช้ติดตามมาด้วย ข้าจึงกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลเจ้า เข้ามา!” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ต้องบอกภรรยาสาว
ทันทีที่เขาพูดจบ สตรีในชุดดำนางหนึ่งก็ผลักประตูให้เปิดออกแล้วเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นจวินหรูเย่จึงพูดขึ้นแบบสบาย ๆ ว่า “นี่คือโม่เยว่ หน่วยก้านนางดีใช้ได้เลย อีกทั้งนางยังมีรากวิญญาณธาตุคู่ นั่นก็คือธาตุไม้และสายฟ้า จากนี้ไปนางจะเป็นคนของเจ้า”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก นางก็มองไปยังคนที่เข้ามาใหม่อย่างสนอกสนใจ
สตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวหญิงสาว นางมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา ริมฝีปากเรียวบางเผยให้เห็นฟันสีขาวที่เรียงแถวกันสวยงาม ส่วนผมยาวดำขลับของนางถูกรวบขึ้นแล้วมัดเป็นหางม้าสูง อีกทั้งท่าทางนั้นก็ดูองอาจเป็นพิเศษยามที่นางอยู่ในชุดสีดำ
เพียงแค่มองปราดเดียวเฟิ่งมู่ชิงก็ชื่นชอบผู้หญิงคนนี้มาก นางจึงยิ้มให้กับจวินหรูเย่อย่างสดใสก่อนจะพูดกับเขาว่า “ขอบคุณ ข้าชอบนางมาก”
ขณะนี้โม่เยว่ยืนอยู่เงียบ ๆ พลางแอบมองนายท่านของตน ซึ่งนางเห็นใบหน้าครึ่งหนึ่งที่งดงามจนน่าทึ่งของผู้เป็นนาย ทำให้สีหน้าที่เคยเรียบเฉยของนางเห่อร้อนด้วยความขวยเขิน แต่เมื่อนางได้สติจึงรีบก้มศีรษะลงเพราะกลัวว่าเจ้านายทั้งสองจะสังเกตเห็น
“วันนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บภายใน แม้ว่าเจ้าจะกินยาฟื้นฟูร่างกายไปแล้วก็ตาม แต่เจ้าก็ยังต้องดูแลตัวเองให้ดี”
จวินหรูเย่นึกถึงอาการบาดเจ็บของผู้เป็นภรรยาก็อดไม่ได้ที่จะเตือนนาง เพราะเขาคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่อย่างสงบแต่โดยดี
“ข้าจะไม่ล้อเล่นกับชีวิตของตัวเองอย่างแน่นอน ว่าแต่ท่านมีตำราวิชายุทธที่สูงกว่านี้หรือไม่?” เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยท่าทางเกรงใจ
ท้ายที่สุดแล้ว ตำราวิชายุทธขั้นสูงไม่ใช่เรื่องที่จะขอกันได้ง่าย ๆ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายคือจวินหรูเย่ นางจึงมีความกล้าที่จะถามเขา หากลองให้นางเอ่ยขอเช่นนี้กับผู้อื่น นางคงต้องถูกไล่ตะเพิดแทนที่จะได้ตำรามาเป็นแน่
ครั้นหญิงสาวคิดถึงการต่อสู้ในวันนี้ก็รู้สึกว่าตนยังคงอ่อนแอมาก แม้แต่กับเฟิ่งหวานหว่านนางก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ สิ่งนี้ทำให้ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกแย่
แม้ว่าเฟิ่งมู่ชิงจะมีทักษะหลายอย่างกับวิชายุทธโบราณที่นางได้เรียนรู้ระหว่างบำเพ็ญตนเพื่อขึ้นเป็นเซียนในชีวิตก่อนก็ตาม แต่ดินแดนซิงหยุนเป็นโลกแห่งผู้ฝึกฝนที่แท้จริงและเป็นเรื่องยากที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มีพลังวิญญาณ ถึงจะเสริมด้วยวิชาเดิมที่ติดตัวมาและการฝึกฝนจิตใจที่นางเคยเรียนรู้ในอดีต แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าในอนาคตนางจะไม่พบศัตรูที่ทรงพลังกว่านี้ เพราะนางเชื่อว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
ในขณะเดียวกัน จวินหรูเย่มองเห็นถึงความมุ่งมั่นของเฟิ่งมู่ชิงที่ต้องการจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และมันทำให้เขาอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
“ตำราวิชายุทธในห้องนี้ล้วนเป็นวิชาเบื้องต้นสำหรับการปูพื้นฐานของแต่ละธาตุ หากต้องการวิชาระดับที่สูงกว่านี้ เจ้าต้องไปที่หอพระสูตรทางด้านตะวันออกของจวน ที่นั่นเต็มไปด้วยตำราวิชายุทธระดับนภาและธุลี ชิงชิง หากเจ้าสนใจเจ้าก็สามารถใช้งานได้ตามต้องการ”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ หอที่สูงที่สุดในจวนที่นางเคยเห็นความจริงแล้วคือหอพระสูตรซึ่งเต็มไปด้วยตำราวิชายุทธระดับนภาและธุลี สิ่งนี้บ่งบอกว่าจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง
“ชั้นบนสุดของหอพระสูตรมีวิชายุทธระดับปฐพีอยู่เล็กน้อย และมีวิชายุทธระดับสวรรค์อยู่บ้าง เมื่อเจ้าฝึกฝนพลังได้ถึงขั้นสูงแล้ว เจ้าสามารถเลือกศึกษาได้ด้วยตัวเอง” จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นอย่างใจกว้างพร้อมกับมีรอยยิ้มในดวงตา คำพูดที่ใจดีของเขาได้ลอยไปกระทบกับจิตใจของคนที่ได้ฟังจนนางเกิดอาการมึนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นสิ่งดี ๆ มาก่อน แต่ทรัพยากรการฝึกฝนในดินแดนซิงหยุนนั้นมีจำกัด และเป็นเรื่องยากที่ในชีวิตนี้ของนางจะพบคนใจกว้างเหมือนชายตรงหน้า
ข้าไม่คาดคิดว่าจวนผู้สำเร็จราชการฯ จะมีตำราวิชายุทธระดับปฐพีและระดับสวรรค์อยู่ด้วย ช่างชวนให้โลภเสียจริง
“พอพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว เจ้าคงยังไม่ได้ทดสอบรากวิญญาณครั้งใหม่ เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่?”
เหตุเพราะเฟิ่งมู่ชิงเพิ่งเริ่มเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนหลังจากการล้างพิษในร่างกาย ทำให้นางไม่มีเวลาได้ทดสอบรากวิญญาณใหม่อีกครั้ง จวินหรูเย่ซึ่งเป็นคนรอบคอบอยู่แล้วจึงคิดแทนนาง
หญิงสาวที่เห็นสามีหนุ่มเป็นห่วงตนก็รู้สึกประทับใจมาก นางไม่คิดว่าเขาจะสนใจคนที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงแค่ 3 วันขนาดนี้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกับตนเองอย่างลับ ๆ
เมื่อข้ากลับขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดในใต้หล้าอีกครั้ง ข้าจะปกป้องเขาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายอย่างแน่นอน
ไม่นานเฟิ่งมู่ชิงก็ถอนความคิดออกมาก่อนจะส่ายหัวเป็นคำตอบแล้วพูดต่อว่า “ตำราในห้องนี้ได้บอกไว้หมดแล้ว”
เมื่อวานนี้หญิงสาวเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับดินแดนซิงหยุนและการฝึกฝนเบื้องต้นจากการอ่านตำราทั้งหมดที่มีในห้องเป็นที่เรียบร้อย และรากวิญญาณของนางสามารถตรวจดูได้โดยการเพ่งเข้าไปในจุดตันเถียน นางจึงตรวจสอบด้วยตนเองตั้งแต่ตอนที่ล้างพิษในร่างกายเสร็จใหม่ ๆ ส่วนระดับของพลังนางรู้ในตอนที่สู้กับเฟิ่งหวานหว่าน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทดสอบอีกครั้งด้วยซ้ำ
ทางด้านจวินหรูเย่ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกภูมิใจมากหลังจากได้เห็นความเฉลียวฉลาดของนาง เขาไม่คิดว่านางจะเข้าใจทุกอย่างภายในวันเดียวจากการศึกษาตำราในห้องเก็บตำรา เขารู้สึกว่านางดูจะเหมาะสมกับคำว่าอัจฉริยะเหนือผู้ใดในเป่ยอี้
และด้วยสิ่งนี้ เมื่อใดที่นางขึ้นไปยืนอยู่เหนือใครในใต้หล้า เมื่อนั้นจวนมหาเสนาบดีคงจะต้องเสียใจไปจนวันตาย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรพักผ่อนให้มาก ๆ ข้ายังต้องไปจัดการธุระบางอย่างต่อ” ครั้นชายหนุ่มเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว เขาจึงปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อนร่างกายให้เต็มที่
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินดังนี้ก็เหลือบมองกองกระดาษที่วางทับกันจนสูงอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่สายตาของนางจะเผยให้เห็นถึงความชื่นชมต่อชายตรงหน้าที่ขยันขันแข็งในการทำงานอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินกลับห้องไปพร้อมกับโม่เยว่
หลังจากทั้งคู่กลับมายังลานบ้านของตัวเอง โม่เยว่ก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้านายยังมีหน้ากากปิดอยู่ครึ่งซีกทำให้นางหวนนึกถึงข่าวลือเหล่านั้น และในไม่ช้านางก็เข้าใจทุกอย่าง
น่าเสียดายที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งของผู้เป็นนายต้องถูกปิดบังไว้เพราะความอัปลักษณ์ที่ใคร ๆ ต่างพูดถึง ทั้งที่ใบหน้าอีกครึ่งของนางงดงามจนสามารถทำให้คนทั่วทั้งแคว้นหลงใหลได้เลยทีเดียว
เนื่องจากเฟิ่งมู่ชิงมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมมาก นางเลยสังเกตเห็นถึงสายตาที่โม่เยว่จ้องมองมา แต่นางไม่ได้คิดที่จะถามอะไรอีกฝ่าย ในตอนนี้นางเพียงแค่สนใจในตัวของผู้ติดตามคนใหม่ที่ได้มาเท่านั้น
“บอกข้าเกี่ยวกับตัวของเจ้ามาซิ”
ปัจจุบันหญิงสาวเพิ่งแต่งงานกับผู้สำเร็จราชการฯ ได้เพียงแค่ 3 วัน ดังนั้นนางจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในจวนผู้สำเร็จราชการฯ เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจวินหรูเย่จะเหมือนเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายต่อหน้านางก็ตาม แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ดูลึกลับมากอยู่ดี
และนางเองก็ไม่ชอบที่จะแอบค้นหาความลับของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้นางเลยมักจะถามออกมาโดยตรงเสียมากกว่า
“โม่เยว่ได้รับการฝึกฝนในกองทัพองครักษ์เงาตั้งแต่ยังเล็ก โม่เยว่มีหน้าที่หลักคือการรวบรวมข่าวกรอง วันนี้โม่เยว่ถูกท่านผู้สำเร็จราชการฯ เรียกตัวกลับมาเพื่อมอบหมายให้โม่เยว่ดูแลพระชายาเจ้าค่ะ” สตรีในชุดดำกล่าวด้วยความเคารพ
“เจ้ากับโม่อิ๋งมีความสัมพันธ์เช่นไร?”
“เราเป็นพี่น้องกันเจ้าค่ะ”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดนางจึงมีความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อได้พบกับโม่เยว่ในครั้งแรก ปรากฏว่าเป็นเพราะคนผู้นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับโม่อิ๋ง
“จากนี้ไปเจ้าไม่จำเป็นต้องรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับข้าให้จวินหรูเย่รับรู้ เว้นเสียแต่ว่ามีความจำเป็น”
ในขณะนี้หญิงสาวรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย นางรู้ว่าจวินหรูเย่กังวลเรื่องความปลอดภัยของตน แต่นางไม่ชอบการที่ต้องถูกตรวจสอบทุกที่ทุกเวลาหรือโดนจับตามอง ดังนั้นตอนที่นางเจอโม่เยว่ครั้งแรกจึงตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
ทางด้านโม่เยว่ที่ได้ฟังก็เข้าใจในสิ่งที่เจ้านายของตนกังวล ถัดมานางคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ได้มอบโม่เยว่ให้แก่พระชายาแล้ว นับจากนี้ไปโม่เยว่จะเป็นเพียงคนของท่านเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับท่านผู้สำเร็จราชการฯ อีก”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกดีใจมาก ในขณะที่ดวงตาคู่สวยเป็นประกายสว่างไสว อีกทั้งริมฝีปากสีแดงสดก็เผยอขึ้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ เดิมทีนางอิจฉาจวินหรูเย่ที่มีโม่อิ๋งคอยติดตามรับใช้มานานแล้ว และนางก็ไม่ได้คาดหวังว่าชายผู้นั้นจะมอบองครักษ์ที่ภักดีเช่นนี้ให้แก่ตน
“เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสีดำชุดนี้ก่อน ถ้าหากว่าเราอยากซ่อนตัวอยู่ในเมืองใหญ่ เราก็ต้องไม่แสดงไพ่ตายต่อหน้าคนอื่น”
หญิงสาวคิดว่าการที่โม่เยว่ใส่ชุดสีดำเช่นนี้มันทำให้ผู้สวมใส่เป็นที่สังเกตได้ง่าย ไม่ว่าใครที่มองมาก็ย่อมรับรู้ได้จากรัศมีรอบตัวของคนสนิทว่านางดูเหมือนจอมยุทธ์มากฝีมือ ดังนั้นเฟิ่งมู่ชิงจึงอยากเก็บตัวตนของนางไว้เป็นไพ่ลับเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหวในอนาคต
ส่วนโม่เยว่ที่ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายก็ต้องตกตะลึงพลางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เหตุใดเจ้านายคนใหม่ของนางจึงไม่ทำตามสามัญสำนึกเหมือนกับคนอื่น ๆ หากเป็นผู้อื่นก็คงจะพานางเดินอวดอ้างข่มขู่คนไปทั่วว่าตนมีองครักษ์ส่วนตัวที่มากความสามารถ
อีกอย่าง ตั้งแต่ที่นางเข้าร่วมกองทัพองครักษ์เงา นางก็ไม่เคยสวมเสื้อผ้าชุดอื่นนอกจากชุดสีดำเลยสักครั้ง เพราะเสื้อผ้าสีดำนั้นดูสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย แถมยังช่วยอำพรางตัวให้เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นด้วย
ที่ผ่านมานางชินกับการแต่งตัวเช่นนี้มานานจนเผลอลืมไปแล้วว่าตัวเองก็เป็นสตรีในวัยหนุ่มสาวเฉกเช่นผู้อื่น
“รับทราบเจ้าค่ะ”
หลังจากที่โม่เยว่รับคำสั่งจากนายท่านแล้ว นางก็เดินออกไปเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองทันที เวลาผ่านไปไม่นานนางก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้านายอีกครั้ง
เฟิ่งมู่ชิงเดินวนไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจคนสนิทใกล้ ๆ พลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
องครักษ์สาว ณ ตอนนี้อยู่ในชุดสีเขียวมรกตที่ถูกปักด้วยลวดลายของต้นสนบาง ๆ มวยผมคู่ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีเขียวเพียง 2 เส้น โดยไม่มีเครื่องประดับใด ๆ อีก และใบหน้าที่เรียบเฉยไร้ซึ่งการแต่งแต้มก็ดูน่ามองยิ่งขึ้น
“นี่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่เจ้าสวมชุดดำเสียอีก” หญิงสาวกล่าวชื่นชมคนตรงหน้าโดยไม่ลังเล ในขณะที่แววตาของนางเต็มไปด้วยคำชมเชยอย่างไม่รู้จบ
โม่เยว่ที่เห็นท่าทีของผู้เป็นนายก็รู้สึกเคอะเขินไปทั้งตัว ยามนี้มือของนางจับชายกระโปรงตัวเองแน่น พร้อมทั้งพยายามปัดส่วนที่ดูรุ่มร่ามออก นางนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากต้องต่อสู้ในชุดนี้มันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของนางหรือไม่
อาจเป็นเพราะเฟิ่งมู่ชิงมีจิตใจที่ละเอียดอ่อน นางจึงสังเกตเห็นความไม่สบายตัวของผู้ติดตามได้ทันที ก่อนที่นางจะเอื้อมมือไปตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ
“คงต้องใช้เวลาสัก 2-3 วันในการทำความคุ้นเคย ชุดนี้ดูเรียบง่ายไม่รุ่มร่าม ดังนั้นมันจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อเจ้าอย่างแน่นอน”
ด้วยคำพูดปลอบใจของนายท่านจึงช่วยบรรเทาความไม่สบายใจของโม่เยว่ได้ในทันใด จากนั้นนางก็พยักหน้าพร้อมกับคิดในใจ
นางเป็นองครักษ์เงาที่ผ่านการฝึกฝนอันโหดเหี้ยมมานับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังคงรักษาเกียรติของการเป็นองครักษ์เงาที่ดีที่สุดมาตลอดทั้งปี ฉะนั้นถึงแม้ว่านางจะสวมกระโปรงอยู่ก็ตาม แต่นางก็มั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถเอาชนะความไม่คุ้นเคยนี้ได้แน่นอน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 141
แสดงความคิดเห็น