บทที่ 13: นางคือว่าที่พระชายาหนิงอ๋อง
เฟิ่งมู่ชิงใช้ประโยชน์จากการหยุดพักดื่มยาฟื้นฟูร่างกายที่จวินหรูเย่มอบให้ หลังจากนั้นจึงตั้งสมาธิปรับลมหายใจอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นอาวุธวิญญาณป้องกันระดับสูงอีกครั้ง นางก็เลิกคิ้วขึ้น
ดูเหมือนว่าอาวุธวิญญาณป้องกันระดับ 5 ชิ้นนี้จะเป็นไพ่ตายในการรักษาชีวิตของเฟิ่งหวานหว่านสินะ
เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งเทียนหลิงได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดของตระกูลให้กับบุตรสาวของเขา เพราะในดินแดนที่พลังวิญญาณเบาบางเช่นนี้คงมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่จะครอบครองอาวุธวิญญาณระดับ 5 ไว้ในมือ
ท่าทางเฟิ่งเทียนหลิงจะรักลูกสาวคนนี้มากเหลือเกิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตระกูลเฟิ่งมีทายาทอยู่ 2 คนก็คือเฟิ่งมู่ชิงและเฟิ่งหวานหว่าน แต่ปัจจุบันเรื่องราวในอดีตของเฟิ่งมู่ชิงได้ถูกเปิดเผยออกมาบางส่วน ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวไม่ใช่บุตรของมหาเสนาบดี ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ จวนสกุลเฟิ่งจึงมีทายาทเพียงคนเดียว ซึ่งเฟิ่งเทียนหลิงได้มอบสิ่งดี ๆ ทั้งหมดให้แก่บุตรสาวที่แท้จริง
หลังจากที่มหาเสนาบดีเฒ่าเห็นว่าเฟิ่งหวานหว่านปลอดภัย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขามอบกระดิ่งทองคำให้กับลูกสาวตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาอาจจะต้องเสียใจ
พอเฟิ่งเทียนหลิงนึกถึงจวินหรูเย่ที่ลงมืออย่างโจ่งแจ้งในจวนของตนเอง มันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธมาก เขาจึงหันไปตวาดคนที่คิดจะทำร้ายบุตรสาวของตนแบบไม่เกรงกลัวใด ๆ
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ! ที่นี่คือจวนมหาเสนาบดี!”
“หึ!”
จวินหรูเย่ไม่ได้ใส่ใจกับคำโวยวายของอีกฝ่าย เขาขยับมืออย่างรวดเร็ว แล้วร่องรอยของลมสีขาวก็พุ่งตรงไปยังจุดตันเถียนของเฟิ่งหวานหว่านทันที
ครั้นหญิงสาวรู้สึกถึงอันตราย นางก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่พอคิดว่าตนอยู่ในเขตป้องกันของกระดิ่งทองคำ นางก็ผ่อนคลายลงในทันใด
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ทว่าเมื่อเผชิญการโจมตีของชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงคราม ม่านป้องกันอันแข็งแกร่งในตอนแรกก็เริ่มแตกร้าวทีละนิด
ครืน!
และในไม่กี่อึดใจ ม่านป้องกันของกระดิ่งทองคำก็พังทลายลง ทำให้พลังธาตุลมลูกใหญ่ทะลุเข้าไปปะทะกับเฟิ่งหวานหว่านโดยตรง จนร่างกายของนางที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยล้มลงกับพื้นอีกครั้งก่อนจะกระอักเลือดแล้วหมดสติไป
“หวานหว่าน!!” เฟิ่งเทียนหลิงที่เห็นบุตรสาวถูกโจมตีต่อหน้าต่อตาก็ตะโกนสุดเสียง
“ข้าไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนบทเรียนดี ๆ ให้กับลูกสาวไร้มารยาทแทนมหาเสนาบดีเฟิ่งหรอกนะ”
ทันทีที่จวินหรูเย่พูดจบ เขาก็เค้นพลังออกมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาตั้งใจที่จะปลิดชีพเฟิ่งหวานหว่านในคราวเดียว
“ในเมื่อเจ้ากล้าแตะต้องชิงชิง เจ้าก็ต้องรอรับความพิโรธจากข้าผู้นี้!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกร้าว
มหาเสนาบดีเฟิ่งไม่เคยคาดคิดว่าจวินหรูเย่จะกล้าลงมือต่อหน้าทุกคน ทำให้เขาไม่ได้คิดหาวิธีสกัดกั้นการโจมตีของชายตรงหน้า และเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขากำลังจะถูกสังหาร ดวงตาของเฟิ่งเทียนหลิงก็แดงก่ำทันที
นางคือสายเลือดเพียงคนเดียวของข้า ตระกูลเฟิ่งจะต้องจบลงอย่างนี้จริง ๆ หรือ?!
ปัง!
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จู่ ๆ ก็มีลูกบอลแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาปิดกั้นร่างของเฟิ่งหวานหว่านไว้ พอลูกบอลลูกนั้นปะทะเข้ากับพลังการโจมตีของจวินหรูเย่ พลังทั้งสองก็ระเบิดออก
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ โปรดระงับโทสะด้วย”
เสียงปริศนาของชายคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนในสวนมองตามเสียงนั้นก่อนจะเห็นร่างของชายในชุดสีเหลืองสดใสเดินเข้ามา
“หนิงอ๋อง!” เมื่อเฟิ่งเทียนหลิงเห็นหน้าของผู้มาใหม่ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะโค้งทำความเคารพคนที่เพิ่งเข้ามา
เฟิ่งมู่ชิงที่นั่งดูสถานการณ์เงียบ ๆ มานานก็มองไปยังหนิงอ๋องโดยไม่มีสีหน้าหรือท่าทางประหลาดใจใด ๆ
ชายคนนี้คือ ‘ซือคงหรูหลาง’ ใช่หรือไม่?
คนคนนี้มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น โชคดีที่การหมั้นหมายถูกยกเลิก
“สตรีผู้นี้ไม่เคารพพระชายาของข้า การที่หนิงอ๋องมาขัดขวางการลงโทษเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ตอนนี้จวินหรูเย่รู้สึกหงุดหงิดใจมาก เหตุใดการจัดการกับเฟิ่งหวานหว่านถึงได้มีอุปสรรคขนาดนี้ นางสมควรตายไปเสียตั้งแต่ที่โดนเขาโจมตีในครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ
“หวานหว่านยังเด็กนัก นางจึงไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หวังว่าท่านทั้งสองจะให้อภัยนาง” ซือคงหรูหลางพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพพลางเผยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นบนใบหน้า
“เฮอะ! นางเกิดห่างจากหม่อมฉันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่พระองค์กลับบอกว่านางยังเด็กอยู่” เฟิ่งมู่ชิงได้ยินดังนั้นก็อดเอ่ยเสียดสีออกมาไม่ได้ ในขณะที่นางจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“แต่พระชายากับหวานหว่านเป็นพี่น้องกัน ข้าเพียงแค่หวังว่าพระชายาจะแสดงความเมตตาต่อนาง” ชายตรงหน้ายังคงพยายามที่จะไกล่เกลี่ยเรื่องราวให้จบลงด้วยดี แต่แน่นอนว่าหญิงสาวย่อมไม่เห็นด้วย
“สิ่งที่หนิงอ๋องพูดนั้นดูน่าสนใจมาก เมื่อครู่น้องสาวคนนี้ของหม่อมฉันมิได้ละความพยายามที่จะสังหารหม่อมฉันเลยสักนิด หากท่านผู้สำเร็จราชการฯ มาไม่ทัน คนที่นอนอยู่บนพื้นในตอนนี้อาจจะเป็นหม่อมฉันเอง”
“นี่…” คำตอบโต้ของอีกฝ่ายทำให้ซือคงหรูหลางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พอเขาแอบมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงด้วยหางตา ในตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แล่นเข้ามาในใจ
นี่คือคู่หมั้นเดิมของข้างั้นหรือ?
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นนางและไม่เคยคิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่ท่าทางที่ดูสง่าผ่าเผยของนางที่ปรากฏต่อสายตากลับดึงดูดความสนใจของเขาไปได้ทั้งหมด
แม้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะถูกบดบังด้วยหน้ากากที่สลักลวดลายอันวิจิตรงดงาม แต่มันก็ยังไม่สามารถซ่อนความงามของนางได้ ราวกับว่านางเกิดมาเพื่อเปล่งประกายโดดเด่นเหนือผู้อื่น
เขาไม่เคยคิดริเริ่มที่จะตามหาคู่หมั้นที่ใครต่อใครต่างก็เอ่ยถึงคนนี้เลย หากเขายืนหยัดที่จะตามหานาง สถานการณ์คงจะแตกต่างออกไป
เวลานี้ซือคงหรูหลางได้ลิ้มรสความเสียใจเป็นครั้งแรก แต่แน่ล่ะ เขารู้ดีว่าไม่มียารักษาความเสียใจอยู่บนโลก
ทันใดนั้นเอง เฟิ่งมู่ชิงก็บังเอิญสังเกตเห็นร่องรอยของความเสียดายในดวงตาของซือคงหรูหลางซึ่งทำให้นางรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
ต้องมีอะไรผิดปกติกับคนผู้นี้แน่ ๆ
ไม่ใช่ว่าข้ากับเฟิ่งหวานหว่านเพิ่งทะเลาะกันใหญ่โตหรอกหรือ?
แล้วท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร?
“ถ้าหนิงอ๋องตั้งใจจะปกป้องนาง ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย”
จวินหรูเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันเมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาที่ซือคงหรูหลางมองไปยังเฟิ่งมู่ชิงซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ชายหนุ่มจ้องไปที่หนิงอ๋องด้วยสายตาเย็นชาจนอีกฝ่ายสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ข้าขอให้ท่านโปรดไว้ชีวิตหวานหว่านด้วยเถิด หากเป็นเช่นนั้นข้าจะรู้สึกซาบซึ้งใจมาก” อ๋องหนุ่มที่พยายามเจรจาก็พลันรู้สึกหน่วงที่หัวใจราวกับว่าเขาถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้
เขาเป็นถึงอ๋องผู้สง่างามแต่กลับต้องมาก้มหัวให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทว่าเมื่อนึกถึงรูปลักษณ์อันโหดเหี้ยมของชายตรงหน้าแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่กัดฟันอดทนไว้
ใครใช้ให้เสด็จพ่อของเขามอบอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้กับชายผู้นี้กัน!
ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เสด็จพ่อคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดเขาถึงไม่กลัวว่าตระกูลซือคงอาจจะตกอยู่ในมือจวินหรูเย่?
ยามนี้ซือคงหรูหลางรู้สึกมึนงงอยู่ชั่วขณะ แต่ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ปัจจุบันเขาก็เป็นเพียงคนพิการบนรถเข็น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าคนในวังหลวงกระตือรือร้นที่จะกำจัดเขาออกไปให้พ้นทางโดยเร็วที่สุด
“ไว้หน้าท่านงั้นหรือ?” จวินหรูเย่เย้ยหยัน “ข้าเกรงว่าใบหน้าของท่านจะไม่คุ้มค่ากับอาการบาดเจ็บของชิงชิง”
“แต่… ท่านผู้สำเร็จราชการฯ นางคือว่าที่พระชายาหนิงอ๋อง”
ทันทีที่ซือคงหรูหลางพูดจบ บริเวณสวนหลังจวนก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่อยู่พื้นที่นั้นมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ซึ่งมีทั้งคนที่คาดไม่ถึง และคนที่ยินดีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
เฟิ่งเทียนหลิงเป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกยินดี เขาดีใจมาก เพราะหากบุตรสาวของเขาอยู่ในสถานะนี้ ชีวิตของเฟิ่งหวานหว่านจะนับได้ว่าปลอดภัย
“ท่านบอกว่านางคือว่าที่พระชายาหนิงอ๋อง แต่ตอนนี้นางเป็นแค่เพียงบุตรสาวของจวนมหาเสนาบดีซึ่งเป็นเพียงสามัญชน หากนางต้องการทำร้ายพระชายาของข้า นางก็ควรจะตระหนักถึงผลที่ตามมาอยู่แล้วมิใช่หรือ?” จวินหรูเย่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือจากเรื่องดังกล่าวจึงเอ่ยแย้งขึ้น
ทางด้านหนิงอ๋องรู้สึกหนักใจที่เจรจาเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เห็นผล จากนั้นมือของเขาที่ห้อยอยู่ข้าง ๆ ตัวก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะไม่เต็มใจปล่อยเฟิ่งหวานหว่านไป แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยนางจากเงื้อมมือของคนทั้งคู่ให้ได้
“ในเมื่อหนิงอ๋องปล่อยมือจากสตรีผู้นี้ไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนส่งท่านให้ไปอยู่กับนางด้วยตัวเอง เพื่อสนองความรักของท่านที่มีต่อนาง” จวินหรูเย่พูดอย่างไร้ความรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ไว้หน้าซือคงหรูหลางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหนิงอ๋องได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเขาก็เต้นแรง ยิ่งพอเห็นว่าชายตรงหน้ากำลังจะลงมือเขาก็รู้สึกเสียศูนย์ไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นเพราะเขารู้ดีว่าจวินหรูเย่เป็นคนที่พูดจริงทำจริง และในสายตาของชายคนนี้ สถานะหนิงอ๋องของเขาไม่สำคัญเลยสักนิด
จวินหรูเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ก่อนที่เขาจะโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นความอบอุ่นก็ปกคลุมที่หลังมือของเขา
ชายหนุ่มมองไปยังหลังมือก่อนจะเห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงยื่นมือออกมาเพื่อห้ามเขาไว้
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ในเมื่อหนิงอ๋องออกตัวปกป้องเฟิ่งหวานหว่านเช่นนี้ เหตุใดพวกเราไม่เมตตาปล่อยนางไปสักครั้ง?”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางจับมือของจวินหรูเย่ไว้ซึ่งคนที่ถูกห้ามขมวดคิ้วมองนางด้วยความสงสัย
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นว่าชายหนุ่มอยู่ในอาการงงงวยก็ส่งสายตามองเขาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังเฟิ่งหวานหว่านที่อยู่ด้านหลังซือคงหรูหลาง พร้อมกับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า
เฟิ่งหวานหว่าน หนทางของพวกเรายังอีกยาวไกล
เมื่ออ๋องหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามีท่าทีผ่อนคลาย เขาก็รีบเรียกบ่าวรับใช้ให้พาเฟิ่งหวานหว่านที่หมดสติออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายลงมือได้อีก
แต่ในขณะที่บ่าวรับใช้กำลังจะก้าวไปพาคนไม่ได้สติออกมา จู่ ๆ จวินหรูเย่ก็พูดขึ้นว่า
“ช้าก่อน! ถึงแม้นางจะสามารถหลีกเลี่ยงโทษตายได้ แต่โทษเป็นยังคงอยู่ และโทษของนางก็คือการโบย 30 ไม้”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: อย่าคิดว่ามาทำร้ายพระชายาแล้วจะโดนปล่อยไปง่าย ๆ พี่หรูเย่ไม่ยอม!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 197
แสดงความคิดเห็น