บทที่ 605: ท่านแม่บอกว่าแม้เราจะใกล้ตาย แต่เราก็ต้องกินให้อิ่มท้อง
“นี่เจ้าหูหนวกหรือไง! ข้าเพิ่งบอกว่าจะไปจับพี่น้องของเจ้ามากินสมองให้หมด! เจ้าไม่กลัวรึ?” กู่สือตวาดพร้อมกับจ้องหลงเหยาเขม็ง
“เสี่ยวเหยากลัว” คนตัวเล็กผงกหัวหงึกหงัก ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่ท่านแม่บอกเอาไว้ว่าถ้าเรากำลังจะตาย เราจะต้องกินให้อิ่มท้องก่อน ไม่งั้นเราจะกลายเป็นผีที่หิวโหย ยังไงซะเสี่ยวเหยาก็จะต้องตายอยู่แล้ว ดังนั้นเสี่ยวเหยาจะต้องกินข้าวให้อิ่มก่อน”
“…”
แม่มันสอนบ้าอะไรวะเนี่ย มีแม่ที่ไหนสอนลูกแบบนี้บ้าง!
“นอกจากนี้ เสี่ยวเหยายังรู้สึกกลัวที่จะอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าท่านจับพวกพี่น้องของเสี่ยวเหยามาได้ อย่างน้อยเสี่ยวเหยาก็จะมีเพื่อนอยู่ด้วยและไม่เหงาอีก”
หลงเหยาพูดจบแล้วก็ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวเต็มปาก
คำพูดของมังกรน้อยทำให้กู่สือพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรวะเนี่ยยย!!
ชายผมแดงรู้สึกหดหู่ใจมากเพราะแผนการที่จะข่มขู่เด็กล้มเหลวไม่เป็นท่า
ไม่! ข้าจะต้องรีบไปจับตัวเด็กคนอื่นมาให้เร็วที่สุด
มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กในตระกูลนี้จะแปลกประหลาดเหมือนไอ้เด็กนี่กันหมด!
พอกู่สือคิดได้ดังนั้น ในที่สุดอารมณ์หดหู่ของเขาก็สดใสขึ้น และเขาก็จ้องมองหลงเหยาด้วยสายตามืดมน แต่เขาก็ยังตอบตกลงทำตามคำขอของอีกคนอยู่ดี
“เอาเถอะ ข้าจะไปย่างเนื้อให้เจ้า”
ในช่วง 2 วันที่อยู่ด้วยกัน กู่สือพบว่านอกจากเรื่องที่เจ้าเด็กคนนี้ขี้เหม็นและในสมองมีแต่เรื่องกินเพียงอย่างเดียวแล้ว มันสามารถอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังได้ ขอแค่มีอาหารให้มันกินจนอิ่มก็พอ
ไอ้ตัวเล็กนี่เชื่อฟังมากกว่าเด็กที่เขาเคยพบเจอมาก่อนด้วยซ้ำ แถมมันยังช่วยเขาแก้ปัญหาบางเรื่องด้วย
“เสี่ยวเหยาอยากกินเนื้อย่างดี ๆ ที่ไม่มีเลือดติดอยู่” หลงเหยาร้องขอแบบไม่เกรงกลัว
“ทำไมเจ้าถึงเรื่องมากขนาดนี้ กินยากกินเย็นเสียจริง” ชายผมแดงขบฟันกรามตัวเองแน่นในขณะที่พูดออกมา
“ท่านแม่บอกเอาไว้ว่าเด็ก ๆ จะต้องกินเนื้อปรุงสุก ไม่อย่างนั้นหนอนก็จะเข้าไปในท้อง แล้วในท้องของเสี่ยวเหยาจะมีหนอนยั้วเยี้ยมากมาย”
เด็กน้อยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“คำนึงก็ท่านแม่บอกว่า สองคำก็ท่านแม่บอกว่า นอกจากสิ่งที่แม่เจ้าบอกแล้ว เจ้าจำอย่างอื่นไม่ได้เลยหรือไง!” จู่ ๆ กู่สือก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
“ท่านพ่อบอกว่าเป็นเด็กจะต้องเชื่อฟังท่านแม่”
“…”
ลืมมันไปซะเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาคุยกับไอ้เด็กเวรนี่อีกแล้ว
ถ้าเขายังคงต่อล้อต่อเถียงกับมันต่อไป มันคงทำให้เขาโกรธจนเส้นเลือดในสมองแตกตายไปก่อนแน่
เวลาถัดมา หลังจากกู่สือย่างเนื้อเสร็จแล้ว เขาก็โยนมันไปให้เจ้าตัวเล็ก ก่อนที่เขาจะเดินออกจากถ้ำไป
หลงเหยาหยิบเนื้อย่างขึ้นมากัดกินพร้อมกับพึมพำว่า
“ง่ำ ๆ! เสี่ยวเหยาไม่กลัว แจ๊บ ๆ! เสี่ยวเหยารู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องมาช่วยเสี่ยวเหยาแน่นอน”
ตามปกติเวลาที่กู่สือออกไปข้างนอกเขาจะเอาหินมากั้นทางเข้าถ้ำเอาไว้ แม้ว่าเด็กน้อยจะสามารถแก้เชือกให้ตัวเองได้ แต่เด็กตัวเล็กอย่างเขาก็คงไม่สามารถดันก้อนหินที่ขวางปากถ้ำออกไปได้อยู่ดี
หลังจากที่หลงเหยากินเนื้อย่างเสร็จ เขาก็ไปหามุมหนึ่งในถ้ำเพื่อจัดการในเรื่องการขับถ่ายของตัวเอง เสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนลงแบบคนเกียจคร้าน
มังกรน้อยนอนลงบนหญ้าแห้งที่กู่สือหามาปูเอาไว้ โดยที่เขาเอามือไขว้ไว้บนหัวแทนหมอนและยกขาไขว่ห้างกระดิกเท้าข้างหนึ่งอย่างสบายอารมณ์
ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องราวมาพบเห็นท่าทางนั้นคงจะคิดว่าเขากำลังมาพักผ่อน
…
นอกถ้ำ
ความมืดยามค่ำคืนปกคลุมอยู่ทั่วทุกแห่งหน
กู่สือกลายร่างให้ตัวเองมาอยู่ในร่างสัตว์ ไม่นานผีเสื้อตัวสีแดงเข้มที่มีขนาดใหญ่กว่านกอินทรีทั่วไปก็ปรากฏขึ้นในความมืด
ผีเสื้อนั้นไม่เหมือนผีเสื้อธรรมดา ปีกของมันมีรูปร่างคล้ายกระดูกที่เปื้อนเลือด ยิ่งมันบินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี มันก็ยิ่งทำให้ผีเสื้อตัวดังกล่าวน่าขนลุกและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ยามนี้ปีกอันใหญ่โตกางออกแล้วกระพือบินไปข้างหน้า
ภายในเวลาไม่นาน ปีกสีแดงเข้มก็ค่อย ๆ กลืนหายเข้าไปในสภาพแวดล้อม หากไม่สังเกตให้ดี ๆ ก็เหมือนกับว่ามันไม่เคยปรากฏตัวที่บริเวณนั้นมาก่อน
สักพักกู่สือก็หายลับตาไป
ในตอนนั้นเอง สิ่งมีชีวิตที่อันตรายได้แอบคืบคลานเข้าไปในเผ่าเยว่หู
ปกติแล้วเหล่าภูตเข้านอนแต่หัวค่ำ พอท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันจนไม่ค่อยมีภูตเดินไปมาตามถนนในเผ่า
ปัจจุบันเป็นช่วงที่ภัยแล้งทวีความรุนแรงขึ้น ในตอนกลางวันชาวเผ่าก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการหาอาหารเลี้ยงปากท้องตัวเอง พอตกกลางคืนพวกเขาก็พากันกลับไปนอนพักผ่อนที่บ้านเพื่อให้ตัวเองมีแรงสู้ต่อไปในวันพรุ่งนี้ บนถนนหนทางในเผ่าจึงแทบจะไม่มีใครอยู่เลย
ในค่ำคืนอันมืดมิด ทั่วทั้งเผ่าเยว่หูเงียบสงบไม่ต่างจากป่าช้า
บ้านหินของพวกหูเจียวเจียวเองก็อยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นเองก็มีเงาตะคุ่ม ๆ ปรากฏขึ้นนอกห้องตรงหัวมุมชั้น 2
เงาดังกล่าวก็คือกู่สือนั่นเอง ปัจจุบันเขากำลังจะแอบเข้าไปในบ้านของครอบครัวตระกูลหลง
ภายในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเท่านั้นที่ทำให้ข้างในยังพอมองเห็นเลือนราง ไม่นานผีเสื้อสีแดงก็บินเข้ามาจากหน้าต่างไปจนถึงข้างเตียง
พื้นที่บนเตียงส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหนังสัตว์ มันมีเพียงผมยาวที่โผล่ออกมาให้เห็น และคนที่นอนอยู่ข้างใต้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
ซึ่งเขาเป็น 1 ในเด็กไม่กี่คนที่กู่สือหมายตาไว้
คราวนี้ชายหนุ่มแอบเข้าไปในห้องของเด็กที่ชื่อหลงจง
มันเป็นเด็กที่โวยวายเสียงดังน่ารำคาญที่สุดในตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งที่แล้ว เขาอยากจะดูว่าไอ้เด็กคนนี่ยังจะดื้อด้านในระหว่างที่เขากินมันได้อีกไหม
ถูกต้อง!
นอกจากเขาจะแอบเข้ามาในห้องได้แล้ว เขายังรู้ด้วยว่าเด็กคนไหนอาศัยอยู่ในห้องไหนบ้าง
กู่สือหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปใกล้เตียงใหญ่
ร่างบนเตียงนี้เป็นเป้าหมายของเขา พอคิดว่าหูเจียวเจียวที่หลบอยู่หลังประตูมา 2 วันกำลังหวาดกลัวตนมากแค่ไหน มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้น
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่ ทำไมพวกมันถึงต้องกักตัวเองอยู่ในบ้านนานขนาดนั้น ภูตมังกรเองก็ยังไม่กล้าแม้จะออกไปล่าสัตว์ด้วยซ้ำ
ยิ่งชายผมแดงคิดถึงเหตุผลที่เป้าหมายพากันหดหัวอยู่ในกระดองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
บัดนี้เขาแสยะยิ้มดูถูกคนตระกูลหลง พอรอยยิ้มนั้นประดับอยู่บนใบหน้าที่ซูบผอมเหมือนเปลือกไม้แห้งของเขา มันก็ขับให้เขาดูเหมือนคนโรคจิตมากขึ้น
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มออกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนปากแทบจะฉีกถึงหู
“อาหาร อาหารอร่อยของข้า...”
เขาพึมพำในขณะที่ดวงตาฉายแววชั่วร้าย พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าหลงจงที่นอนอยู่บนเตียง
กู่สือเป็นคนที่ไม่เคยไว้ใจใคร เขาจึงทำอะไรระมัดระวังอยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะรู้สึกมั่นใจในชัยชนะของตัวเอง แต่เขาก็ยังคงจับคอของเด็กชายด้วยมือข้างหนึ่ง และยกหนังสัตว์ที่คลุมตัวของคนที่นอนอยู่ออกด้วยมืออีกข้าง
ขณะที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับคนที่คิดว่าเป็น ‘หลงจง’ ใบหน้าของชายผมแดงก็เปลี่ยนไป
“ไม่ นี่ไม่ใช่เด็ก…”
เขาที่ได้กินเด็กมานับไม่ถ้วนแน่นอนว่าต้องคุ้นเคยกับสัมผัสของเด็ก ๆ มากกว่าพ่อแม่ของพวกมันเสียอีก
เพียงชั่วพริบตานั้นกู่สือก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
วินาทีต่อมา มือหยาบกร้านสะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวเด็กเอาไว้ออก
พอชายหนุ่มขยับไปมองใกล้ ๆ ก็เห็นว่าคนที่นอนอยู่ข้างใต้ไม่ใช่หลงจง แต่เป็นวัตถุแปลกประหลาดที่ดูเหมือนหลงจงเท่านั้น
ของสิ่งนี้ไม่มีชีวิตด้วยซ้ำ!
ใบหน้าของกู่สือเปลี่ยนสีในทันใด เขารีบทิ้งของในมือลงแล้วตั้งท่าจะพุ่งออกไปจากห้องนี้
แต่ทันทีที่เขาปล่อยมือออก ‘หลงจง’ ที่นิ่งเงียบเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วก็พองตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
ปัง!!
มีเสียงดังมาจากบ้านหิน มันส่งเสียงดังมากจนสะท้อนก้องไปในค่ำคืนอันเงียบสงบแห่งนี้
เสียงดังกล่าวปลุกภูตในบ้านหินให้ตื่นขึ้นกันถ้วนหน้า
หลงโม่กับหูเจียวเจียวที่กำลังงีบหลับอยู่ในห้องก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน
“มันมาแล้ว!”
ทั้งคู่หันมาสบตากันก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว และพุ่งไปที่ห้องที่เป็นต้นตอของเสียงระเบิด
เพื่อป้องกันการลักลอบเข้ามาในบ้านของกู่สือ จิ้งจอกสาวจึงจงใจเตรียมการต้อนรับเขาเอาไว้ล่วงหน้า
ช่วงเวลานี้เธอใส่เสื้อผ้าเตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกทุกคืนเพื่อให้ตัวเองออกไปไล่จับศัตรูได้โดยไม่ต้องพะวงถึงเรื่องอื่น
อีกทั้งเธอได้ย้ายลูกทั้ง 5 ให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว โดยที่คนนอกเห็นเพียงว่าครอบครัวของพวกเธอทุกคนอยู่ในบ้านหิน แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันในบ้านมีเพียงหูเจียวเจียว, หลงโม่และเตี๋ยฉ่ายเท่านั้น
หลังจากเกิดเสียงดังในบ้าน ไม่นาน 2 สามีภรรยาก็มาถึงห้องของหลงจง
เตี๋ยฉ่ายเองก็ตกใจตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงระเบิด แต่นางก็ยังล่าช้ากว่าทั้งคู่มาก
สิ่งแรกที่นางทำหลังจากไปถึงที่เกิดเหตุก็คือการขมวดคิ้วและยกมือขึ้นมาปิดปากปิดจมูกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ ทำไมมันถึง… แปลก ๆ?”
ระหว่างที่พูดเตี๋ยฉ่ายเหลือบมองหลงโม่แล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนจากคำว่า ‘เหม็น’ เป็น ‘แปลก ๆ’ แทน
เนื่องจากหญิงสาวรู้สึกลำบากใจที่จะพูดว่าในบ้านของภูตมังกรมีกลิ่นเหม็นต่อหน้าเขา
หากในเวลาปกตินางเข้าไปในถิ่นที่อยู่ของภูตมังกร นางอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตายอนาถแค่ไหน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: สงสารคนที่จับเสี่ยวเหยาไปเป็นตัวประกันมากนะ อย่างปั่นเลยเจ้าเด็กคนนี้ 5555555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 127
แสดงความคิดเห็น