บทที่๑๔
“คุณว่ายังไงนะ คุณทำงานพลาดงั้นเหรอ โธ่เอ๊ย! ไม่ได้เรื่อง ไม่ต้องเอาเงินหรอก แค่นี้นะ” ประภาโวยวายเมื่อคนที่เธอจ้างให้ไปฆ่าปาณัทโทรมาบอกว่าทำงานไม่สำเร็จ เธอโยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียงนอนอย่างอารมณ์เสีย
เมื่อเห็นผู้เป็นภรรยาอารมณ์เสียเขมนันท์ก็ถามว่า
“คุณเป็นอะไร คุณภา”
“ก็คนที่ฉันจ้างไปฆ่าไอ้ป้องน่ะสิ โทรมาบอกฉันว่าเขาทำงานไม่สำเร็จ ไหนคุณว่าคนนี้เก่งนักเก่งหนา เป็นถึงนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ยิงปืนแม่นไง แล้วนี่อะไร งานแค่นี้ยังทำพลาด ไม่ได้เรื่อง”
“มันต้องมีเหตุบังเอิญอะไรสักอย่างสิที่ทำให้เขาทำงานไม่สำเร็จ” เขมนันท์ว่า
“นี่คุณแก้ตัวให้เขาเหรอ” เธอไม่พอใจ
“เปล่า” อีกฝ่ายโบกมือพัลวัน “คุณก็ให้เขาแก้ตัวใหม่สิ จ้างเขาอีกครั้ง”
“ยังจะมีครั้งที่สองอีกเหรอ ขนาดครั้งแรกยังพลาด แล้วครั้งที่สองมันจะไม่พลาดอีกเหรอ หา!”
“คุณก็ลองจ้างเขาให้ทำอีกครั้งสิ ถ้าครั้งหน้าเขาทำไม่สำเร็จก็แค่ไปหาจ้างคนใหม่” ผู้เป็นสามีว่า
ประภาจึงพยักหน้า
“ค่ะ ลองดูก็ได้ค่ะ” แล้วก็ไปหยิบโทรศัพท์มือถือกดโทรหาคนที่เธอเพิ่งจะวางสายไป เมื่ออีกฝ่ายรับสายเธอก็กรอกเสียงลงไป “ฮัลโหล! ถ้าคุณอยากได้เงิน คุณก็ทำงานให้ฉันอีกครั้งสิ แต่ครั้งหน้าต้องสำเร็จนะ ตกลงตามนี้นะ” เมื่อคุยเสร็จเธอก็กดวางสาย
“เขาว่ายังไงบ้าง” เขมนันท์ถามอย่างอยากรู้
ผู้เป็นภรรยาจึงตอบว่า
“เขาตกลงจะทำงานให้อีกครั้ง และสัญญาว่าจะไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง”
“ผมมั่นใจว่าครั้งหน้าเขาจะทำสำเร็จ”
“คุณเอาอะไรมามั่นใจคะ”
“ผมมั่นใจก็แล้วกันน่ะ” เขาตัดบทไปเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ไอ้ป้อง ครั้งหน้าแกจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้แน่” เธอยิ้มร้าย
ทั้งสองคนยังไม่ล้มเลิกแผนการที่จะกำจัดปาณัท ยังคงจ้างให้คนกำจัดอีกฝ่ายอีกครั้ง และมั่นใจเหลือเกินว่าจะต้องสำเร็จ
หลังจากที่ปาณัทกลับมาจากปทุมธานีเขาก็เข้าบริษัทต่อทันที เมื่อมาถึงเล่าให้ผู้เป็นพ่อฟังในห้องทำงาน เกี่ยวกับร้านทองที่เขาเพิ่งจะไปซื้อมา
“ข้างในร้านกว้างขวางมากเลยครับคุณพ่อ คนเดินได้เกือบหมื่นคน มีตู้กระจกสำหรับวางเครื่องประดับเพชรพลอยขายประมาณยี่สิบตู้ มีห้องรับแขกด้วยครับ แล้วห้องน้ำก็มีหลายห้อง อ้อ คนที่สร้างร้านเขายังใจดีให้ภาพถ่ายแฟชั่นเครื่องประดับด้วยนะครับคุณพ่อ ส่วนข้างนอกร้านก็สวยงามมากครับ นี่ผมยังเดินดูไม่หมดเลย ผมถามเขาว่าลงทุนสร้างหมดไปเท่าไหร่ เขาก็ตอบว่าแปดล้านบาทครับ แล้วผมยังถามเขาอีกว่าขายในราคาสามล้านบาทมันจะคุ้มเหรอ เขาก็บอกว่าคุ้มไม่คุ้มก็ต้องขาย เพราะถ้าขายมากกว่านี้จะไม่มีคนซื้อ อ้อ นี่ผมถ่ายรูปร้านมาเยอะเลยครับ ดูสิครับคุณพ่อ แล้วนี่เป็นเอกสารการซื้อขาย”
แล้วชายหนุ่มก็เปิดภาพถ่ายในโทรศัพท์มือถือให้ผู้เป็นพ่อดู พร้อมกับยื่นเอกสารการซื้อขายให้ด้วย และเมื่อดูภาพถ่ายกับอ่านเอกสารเสร็จปราภพก็พูดว่า
“สวยหรูจริงๆ และอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาขายในราคานี้คงเป็นเพราะเขาใจป้ำมากๆ เขาใจถึงสุดๆ”
“ใช่ครับคุณพ่อ นี่เขาคุยกับผมสบายๆ ทำให้ผมไม่เกร็งเวลาคุยกับเขาครับ” ปาณัทพูดพลางยิ้ม “แต่ผมว่าร้านนี้ไม่ต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มหรอกครับคุณพ่อ เพราะมันสมบูรณ์แบบแล้ว เราแค่หาฤกษ์ไปเปิดร้านก็เท่านั้นเอง”
“อืมม์” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “ถ้างั้นเราก็เอาตามฤกษ์สะดวกแล้วกัน...อีกสองเดือน...แล้วระหว่างนี้เราก็เตรียมทุกอย่างรอ”
“ตกลงตามนั้นครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มว่า แต่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ จริงสิครับคุณพ่อ เราต้องแจ้งกับหุ้นส่วนทุกคนเรื่องการซื้อร้านทองเพื่อที่นำมาเปิดเป็นร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ เดี๋ยวผมให้คุณสุตามหุ้นส่วนทุกคนมาประชุมดีกว่าครับคุณพ่อ” เมื่อพูดจบเขาก็กดโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับในห้องทำงาน โทรหาเลขา “คุณสุครับ เดี๋ยวคุณสุไปเชิญหุ้นส่วนทุกคนมาร่วมประชุมหน่อยนะครับ ด่วนเลยครับ” แล้วก็วางหูโทรศัพท์ ยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ
ในห้องประชุม...หุ้นส่วนทั้งหมดมากันทุกคน มาตามคำเชิญร่วมประชุม ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงงๆ ว่าปาณัทเชิญมาประชุมเรื่องอะไรกัน
แล้วท่านประธานก็เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับผู้เป็นพ่อ อีกสองคนที่เดินมาพร้อมกันก็คือเขมนันท์กับภูริช และเมื่อนั่งลงแล้วปาณัทก็บอกกับหุ้นส่วนทุกคนว่า
“ที่ผมให้คุณสุเชิญทุกคนมาประชุมในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบพร้อมกันครับ”
“เรื่องอะไรครับ” หุ้นส่วนคนหนึ่งถาม
แล้วคนที่สองก็ถาม
“นั่นสิครับ คุณปาณัทมีเรื่องอะไรจะแจ้งให้พวกเราทราบ”
“หวังว่าคงจะเป็นข่าวดีนะ” ภูริชอดที่จะแขวะไม่ได้ เพราะไม่ถูกกันกับปาณัทอยู่แล้ว
ท่านประธานจึงเริ่มแจ้งกับหุ้นส่วน
“คือที่ผมให้คุณสุเชิญทุกคนมาประชุมในวันนี้ก็เพราะว่าผมจะแจ้งให้ทุกคนได้ทราบว่า...ผมได้ไปซื้อร้านทองที่เจ้าของเขาขายแถวปทุมธานี เป็นร้านทองที่ใหญ่มาก ใหญ่เท่าห้างสรรพสินค้า ที่เขาขายก็เพราะเขาขาดทุน...และที่ผมไปซื้อร้านนั้นก็เพื่อที่จะเอามาทำเป็นร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ เจ้าของเขาขายในราคาถูก เดี๋ยวผมจะเปิดภาพให้ทุกคนดูนะครับ”
แล้วชายหนุ่มก็เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือกับจอ LED เปิดภาพถ่ายที่เขาถ่ายร้านทองให้ทุกคนดู พร้อมกับอธิบายไปด้วย
“นี่คือภาพของร้านทองที่ผมเพิ่งจะไปซื้อมา ข้างในกว้างขวาง เดินเข้าไปได้เกือบหมื่นคน มีตู้กระจกสำหรับวางขายเครื่องประดับเพชรพลอย และมีตู้โชว์อัญมณีพร้อม และนั่นคือภาพถ่ายแฟชั่นเครื่องประดับ...” เขาชี้ไปที่จอ LED ตรงกับภาพที่เขาถ่าย เป็นภาพแฟชั่นเครื่องประดับที่ถูกอัดกรอบใหญ่โดยผู้สร้างร้านนี้ “ซึ่งผู้ที่สร้างร้านนี้เขามอบภาพเหล่านี้ให้ เพราะให้ทางเราเก็บเอาไว้ให้ลูกค้าชม และข้างในยังมีห้องรับแขกสำหรับพักผ่อน มีห้องน้ำหลายห้อง ส่วนนี่คือข้างนอก...” เขาชี้ไปที่จออีกครั้ง ในจอปรากฏภาพที่เขาถ่ายข้างนอกของร้าน แล้วเขาก็สรุปว่า “และทั้งหมดนี้คือภาพรวมทั้งหมดของร้าน ผมว่ามันสมบูรณ์แบบมากนะครับ ไม่ต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม หรือทุกคนมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างครับ”
“ผมว่าร้านนี้ใหญ่มาก แทบไม่เชื่อเลยว่าเป็นร้านทอง ปกติผมเคยเห็นแต่ร้านทองเล็กๆ แต่ไม่เคยเห็นใหญ่เท่านี้” หุ้นส่วนคนหนึ่งว่า
“แต่ผมว่าไม่ต้องปรับปรุงอะไรหรอกครับ แค่นี้ก็สมบูรณ์แบบมากแล้ว เปิดร้านขายได้เลยครับ” อีกคนบอกยิ้มๆ
จากนั้นทุกคนต่างก็ลงความคิดเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องปรับปรุงร้านอะไรเพิ่มเติม เพราะร้านสมบูรณ์แบบแล้ว แต่เขมนันท์กับภูริชกลับไม่เห็นด้วย
“แต่อาว่าร้านนี้มันใหญ่ไปนะ สร้างเป็นห้างสรรพสินค้ายังได้เลย” เขมนันท์ขัดขึ้น
ส่วนภูริชก็เห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อ
“ใช่ครับคุณพ่อ ร้านมันใหญ่ไป ถ้าเราขายเฉพาะเครื่องประดับเพชรพลอย อัญมณี ไม่เห็นจะต้องมีร้านที่ใหญ่ขนาดนี้เลย นอกซะจากว่าขายอย่างอื่นด้วย”
“เราจะขายแค่เครื่องประดับเพชรพลอยและอัญมณีเท่านั้น เราไม่ขายอย่างอื่นร่วมด้วย แล้วอีกอย่าง บริษัทเราก็ผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยหลายชิ้นหลายอย่าง การที่เรามีร้านที่ใหญ่ขนาดนี้มันก็เหมาะสมแล้ว” เขาว่า
“ดิฉันเห็นด้วยกับคุณปาณัทค่ะ คุณปาณัทพูดถูกต้องทุกอย่าง มีใครเห็นด้วยกับคุณปาณัทบ้างคะ” หุ้นส่วนคนหนึ่งพูดขึ้น
ทุกคนต่างยกมือขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นเขมนันท์กับภูริช สองคนพ่อลูกถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อไม่มีใครอยู่ข้างพวกเขา
แล้วปาณัทก็ลุกขึ้นยืนและประนมมือไหว้หุ้นส่วนทุกคน
“ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่เห็นด้วยกับผม เอาละครับ ผมขอปิดการประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมประชุมครับ”
เมื่อท่านประธานพูดจบหุ้นส่วนทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากห้องประชุม จึงเหลือเพียงปราภพ เขมนันท์ ปาณัทและภูริช
“นายคงแอบผิดหวังละสิ ที่ทำไม่สำเร็จ” ปราภพพูดกับเขมนันท์ เพราะเขารู้ว่าผู้เป็นน้องเขยนั้นคิดจะทำอะไร เขาดูออก
อีกฝ่ายจึงแกล้งทำเป็นถามว่า
“พี่ปราภพพูดอะไรครับ ทำไมผมต้องผิดหวังด้วยครับ แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย”
“กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง ทำอะไรก็น่าจะรู้ตัวเองดี”
“พี่ก็ชอบมองผมในแง่ร้ายตลอด” เขาพูดเกือบจะเป็นตะคอก
“นายมีแง่ดีๆ ให้มองด้วยหรือไง” ปราภพถาม “อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายแอบไปเข้าบ่อนเล่นการพนันบ่อยๆ แถมยังเที่ยวผู้หญิงอีก แต่ตัดสินใจไม่บอกยายภา เพราะไม่อยากให้น้องสาวของฉันต้องเสียใจ อ้อ แล้วเมื่อกี้ตอนที่ประชุม ฉันก็รู้อีกว่านายกับตาภูพยายามพูดไม่ให้ทุกคนเห็นด้วยกับตาป้อง แต่ทุกคนกลับเห็นด้วยกับตาป้อง ฉันเห็นนายกับตาภูหน้าซีดเผือด”
“พี่ปราภพเอาอะไรมาพูดครับ” ยังไม่ยอมรับ
“นั่นสิครับ คุณลุงเอาอะไรมาพูดครับ” ภูริชก็ไม่ยอมรับเช่นกัน
ผู้เป็นลุงจึงตอบว่า
“ลุงก็เอาความจริงมาพูดไง ยอมรับความจริงเถอะ”
“พอเถอะครับคุณพ่อ เราออกไปข้างนอกกันดีกว่านะครับ” ปาณัทห้ามผู้เป็นพ่อ
“พ่อกำลังจะทำให้นายเขมกับตาภูยอมรับความจริง” ปราภพบอกลูกชาย
ชายหนุ่มจึงพูดว่า
“คุณพ่อคงคิดมากไปเองครับ คุณอาเขมกับนายภูไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกครับ ประชุมเสร็จแล้ว เราออกไปกันเถอะครับ”
“ก็ได้ลูก” เขายอมผู้เป็นลูกชายง่ายๆ ก่อนจะเดินออกไป ส่วนปาณัทก็เดินตามไป
ในห้องก็เหลือเพียงสองคนพ่อลูก เขมนันท์มองตามปราภพอย่างแค้นๆ
“พี่ปราภพรู้ได้ยังไงกันว่าเราไปเข้าบ่อนกับเที่ยวผู้หญิง” พึมพำกับตัวเอง
“ไอ้เข้าบ่อนผมไม่ห้ามคุณพ่อหรอกนะครับ แต่เรื่องเที่ยวผู้หญิงผมขอห้ามเลย คุณพ่อห้ามนอกใจคุณแม่เด็ดขาด” ภูริชว่า
“โถ! ตาภู ผู้ชายมันก็มีบ้างแหละเรื่องเที่ยวผู้หญิง ขนาดแกยังมีเลย”
“ของผมยกเว้นครับ เพราะผมยังไม่มีแฟนเป็นของตัวเอง ผมจะควงใครเที่ยวก็ได้ แต่คุณพ่อมีคุณแม่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณพ่อห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีก อย่าทำให้คุณแม่เสียใจ”
“นี่แกเป็นพ่อฉันหรือไงถึงมาสั่ง” เขมนันท์ไม่พอใจลูกชาย
“ผมเป็นลูกครับ” ชายหนุ่มบอก “แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณพ่อทำให้คุณแม่เสียใจเด็ดขาด”
“เรื่องของพ่อเอาไว้ก่อนเถอะ เรามาคิดเรื่องที่จะกำจัดไอ้ป้องดีกว่า ทรัพย์สมบัติของตระกูลจะได้ตกเป็นของลูกพ่อคนเดียว” เขาตบไหล่ลูกชายเบาๆ พลางยิ้ม
“แล้วเราจะทำยังไงครับคุณพ่อ” ภูริชสนใจทันที
ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า
“เมื่อเช้าแม่ของแกจ้างมือปืนไปยิงมันที่ปทุมธานี แต่มันดวงแข็งรอดมาได้ แม่แกก็เลยจ้างมือปืนให้ไปยิงไอ้ป้องอีกครั้ง พ่อรับรองว่าครั้งหน้ามันจะไม่รอดเหมือนครั้งนี้แน่ แต่รอวันเวลาที่เหมาะสมก่อน”
“ดีครับคุณพ่อ ผมก็ไม่อยากเห็นมันอยู่บนโลกใบนี้เหมือนกัน มันเป็นมารขวางผมทุกอย่าง และมันแย่งความรักจากคุณยายไปหมด ผมเกลียดมันครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มพูดอย่างโกรธแค้นปาณัท เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขากับปาณัทไม่ถูกชะตากัน เขาถูกปลูกฝังให้เกลียดผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง แทบจะมองหน้ากันไม่ติดเลยทีเดียว
วันนี้เป็นเอกหยุดงานหนึ่งวัน ชายหนุ่มจึงไปที่วัดช่วยหลวงพ่อทำงาน วันนี้ที่วัดมีการเปลี่ยนสีกำแพงใหม่ เป็นเอกจึงอาสาเป็นช่างทาสี โดยชวนนิชาภัทรไปช่วยทาด้วย และยังมีชาวบ้านผู้ชายอีกสองคนร่วมด้วยช่วยกันทา หลายคนร่วมแรงกันจะได้เสร็จเร็วๆ
“แกทาดีๆ นะไอ้นิชา ทาแบบนั้นมันจะสวยได้ยังไง” เป็นเอกบอกกับผู้เป็นเพื่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใช้ลูกกลิ้งทาสีไม่ถูกวิธี
นิชาภัทรถึงกับมองบน ก่อนจะบอกว่า
“คุณเป็นเอกขา ก็ดิฉันไม่เคยทาสีนี่คะ”
“ไม่เคยก็ต้องฝึกไว้ เผื่อมีคนจ้างให้ไปทาสีไง”
“ฉันขอทำอย่างอื่นดีกว่า งานทาสีให้พวกผู้ชายทำไป เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ” เธอบอก
“ดีเลยๆ ลุงกำลังหิวน้ำอยู่พอดี” ลุงคนหนึ่งที่มาช่วยทาสีบอกยิ้มๆ
หญิงสาวหันไปยิ้มให้ลุง
“ค่ะลุง”
“จะอู้งานละไม่ว่า นี่ฉันอุตส่าห์ชวนแกมาทาสีนะ ไม่ใช่ชวนมาเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟอะไร” เป็นเอกว่า
แล้วหลวงพ่อก็เดินมาทันได้ยิน ท่านจึงพูดว่า
“เอาเถอะ ให้โยมนิชาไปเสิร์ฟน้ำก็ได้ ถ้าเขาไม่ถนัดทาสีก็อย่าฝืนเลยนะ”
ทุกคนยกไหว้หลวงพ่อ
เป็นเอกจึงบอกกับหลวงพ่อว่า
“แต่หลวงพ่อครับ ผมอยากให้ไอ้นิชาฝึกทำอะไรแบบนี้บ้างครับ”
“แล้วโยมถนัดทำอะไรแบบนี้ไหม” หลวงพ่อหันไปถามนิชาภัทร
“หนูไม่ถนัดทำอะไรแบบนี้หรอกค่ะ หลวงพ่อ ให้หนูไปต่อยมวยยังดีซะกว่า” หญิงสาวบอก
เป็นเอกจึงพูดว่า
“แกนี่นะ ชอบแต่ใช้กำลัง”
“ทำยังกับแกไม่ชอบใช้กำลังงั้นแหละ”
“เอาละๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน โยมนิชาจะไปเอาน้ำมาเสิร์ฟก็ไปเถอะนะ”
“ค่ะหลวงพ่อ” นิชาภัทรยิ้ม ก่อนจะหันไปยักคิ้วกวนๆ ใส่เพื่อนหนุ่ม จากก็วางลูกกลิ้งบนถังสี แล้วเดินออกไปทันที
เป็นเอกมองตามเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้ ความจริงถึงแม้ว่าเขากับนิชาภัทรจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่ก็มีบ้างละที่ทะเลาะกัน เถียงกัน นั่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทั้งสองคนไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยโกรธกันเลย แถมยังรักสามัคคีกันอีกด้วยซ้ำไป
รอไม่นานนักน้ำก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
“น้ำมาแล้วนะจ๊ะทุกคน มีทั้งน้ำแดง น้ำเขียว น้ำส้ม น้ำเป๊ปซี่ และน้ำเปล่า เลือกกินได้เลยนะจ๊ะ”
“ของฉันเอาน้ำเป๊ปซี่” เป็นเอกบอก
แต่นิชาภัทรกลับบอกว่า
“แกน่ะกินเหงื่อตัวเองไปเลยแล้วกัน ชอบว่าฉันดีนัก”
“ฉันขอโทษละกัน”
“ฉันไม่รับคำขอโทษ”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง”
“เอ้อ...” เธอทำท่าคิด เมื่อคิดออกเธอก็ดีดนิ้ว “อ้อ ฉันคิดออกแล้ว...หลังจากทาสีเสร็จแกต้องเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวฉันสามชาม”
“ได้สิ เรื่องแค่นี้เรื่องเล็กมาก” เป็นเอกตอบยิ้มๆ
แล้วลุงคนเดิมก็ถามว่า
“เมื่อไหร่พวกลุงจะได้กินน้ำเนี่ย เหนื่อยจะตายชัก”
“ขอโทษจ้ะลุง ขอโทษจ้ะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปให้นะจ๊ะ” หญิงสาวรีบเอาน้ำไปเสิร์ฟทันที
เป็นเอกส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะลงมือทาสีต่อไป
เป็นเอกทาสีเสร็จประมาณสี่โมงเย็น แล้วเขาก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อน ด้วยการเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเธอ ซึ่งก็ไปกินที่ร้านเดิมที่เคยไปกินประจำ นั่นก็คือร้านท้ายตลาดสด
“แกกินให้หมดนะโว้ย” ชายหนุ่มบอกผู้เป็นเพื่อนขณะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน
บนโต๊ะมีก๋วยเตี๋ยววางอยู่สี่จาน ของเป็นเอกหนึ่งจาน ส่วนอีกสามจานของนิชาภัทร
“ฉันกินหมดอยู่แล้ว เพราะนี่คือของโปรดของฉัน” เธอว่า “เอ๊ะ หรือว่าฉันจะสั่งเพิ่มอีกสองจานวะ”
“หยุด! พอเลย อย่าตะกละให้มากนัก เดี๋ยวแกก็ได้อ้วนเป็นหมูหรอก” เป็นเอกห้าม
แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า
“จะอ้วนหรือผอมมันก็อยู่ที่ตัวฉัน ใครจะทำไม”
“แหม พูดซะเหมือนนักเลงเชียวนะแก”
“แกก็รู้นี่ว่าฉันเป็นศิษย์ของครูอิน ฉันน่ะเตะต่อยเก่งนะโว้ย แกก็เคยโดนมาแล้วนี่ แกอยากโดนอีกครั้งไหม”
“ไม่ละๆ รีบๆ กินก๋วยเตี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเส้นมันจะอืดแล้วกินไม่อร่อย”
“ไม่อยากลองอีกแน่นะ”
“ฉันเข็ดแล้วโว้ย ผู้หญิงอะไรมือหนักตีนหนักชะมัด”
“ผู้หญิงน่ะต้องหัดเรียนวิชาป้องกันตัวบ้าง จะได้ไม่ถูกผู้ชายรังแกอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อผู้ชายทำร้ายเรา เราก็ต้องทำร้ายมันกลับ แบบนี้มันถึงจะแฟร์”
“อย่ามัวแต่โม้ กินไปคุยไปเดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”
เป็นเอกพูดยังไม่ทันขาดคำนิชาภัทรก็เกิดอาการสำลักเบาๆ
“นั่นไง เห็นไหม ฉันพูดผิดซะเมื่อไหร่”
อีกฝ่ายรีบคว้าน้ำมาดื่มทันที เมื่อหายสำลักเธอก็ต่อว่าเพื่อน
“ไอ้บ้าเอก แกมาแช่งฉันทำไม ดูสิ ฉันสำลักก๋วยเตี๋ยวเลย”
“ฉันไม่ได้แช่ง ฉันแค่พูดลอยๆ”
“มันก็เท่ากับแช่งนั่นแหละ”
“เอาละ กินก๋วยเตี๋ยวต่อเถอะ ค่อยๆ กินละ เดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวติดคออีก”
“ยัง...ยังมาพูดแบบนี้อีก”
“ฉันขอโทษๆ เอ้ากินๆ ไป ฉันไม่พูดละ”
แล้วทั้งสองคนก็ลงมือกินก๋วยเตี๋ยวต่อไป โดยไม่พูดคุยกันอีกเลย
ที่โรงพยาบาล...รินรดาเป็นศัลยแพทย์หัวใจของโรงพยาบาลแห่งนี้เกือบเดือนแล้ว ผ่านการผ่าตัดมามากมายหลายเคส แต่ละเคสนั้นแตกต่างกันออกไป แต่เธอก็ทำได้ดี ได้รับคำชมจากหลายๆ คน ทำให้เธอได้รับกำลังใจล้นเปี่ยม เหนื่อยแค่ไหนเธอไม่บ่น เพราะเป็นงานที่เธอรักมาก และหมอกับพยาบาลทุกคนที่นี่ก็รักเธอ อยู่แบบคนกันเองตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน
แพทย์หญิงรินรดานั่งพักในห้องพักของโรงพยาบาล เพราะไม่มีเคสผ่าตัด...หลายวันแล้วที่เธอกับปาณัทไม่ได้เจอหน้ากัน และเธอก็รู้สึกว้าเหว่ในหัวใจเมื่อไม่ได้เจอหน้าเขา มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ขณะที่เธอนั่งคิดอยู่นั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออก พยาบาลนิชานันท์เดินเข้ามา
ผู้เป็นเจ้าของห้องจึงถามว่า
“มีเคสผ่าตัดอีกเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ มีคนมาขอพบคุณหมอรินค่ะ” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ
“ใครคะ” รินรดาทำหน้าแปลกใจ
ยังไม่ทันที่พยาบาลนิชานันท์จะตอบ ก็มีอีกคนเข้ามาในห้อง เป็นปาณัทนั่นเอง เจ้าของห้องเผลอยิ้มดีใจ ก่อนจะรีบหุบยิ้มทันที ส่วนพยาบาลนิชานันท์ก็เดินออกไปแล้ว
“พี่ป้องมาหาริน มีธุระอะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามทันที
ปาณัทนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะถามกลับว่า
“เดี๋ยวนี้ถ้าพี่จะมาหาน้องริน พี่ต้องมีธุระก่อนใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่นะคะ รินแค่แปลกใจ เพราะทุกครั้งที่พี่ป้องมาหารินพี่ป้องมีธุระเท่านั้น”
“นั่นมันเมื่อก่อนครับ แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ” คุณหมอสุดสวยถึงกับแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย
“พี่ขอพูดตรงๆ แล้วกันนะ” ชายหนุ่มยิ้ม
“พูดมาได้เลยค่ะ”
“น้องรินมาคบกับพี่นะ” เขาพูดออกไปทันที
“หา!” หญิงสาวถึงกับตกใจ “พี่พูดเล่นเหรอคะ แหม! เข้าใจพูดเล่นนะคะเนี่ย”
“พี่ไม่ได้พูดเล่นครับ” สีหน้าจริงจังมาก “พี่มานั่งคิดๆ ดูหลายครั้ง เวลาพี่คุยกับน้องรินพี่รู้สึกสบายใจมาก และรู้สึกดีทุกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ยากจะอธิบาย”
“มันก็แค่ความรู้สึกน่ะค่ะ”
“แต่พี่จริงจังกับความรู้สึกมากนะครับ”
“เราเพิ่งจะเจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์เองนะคะ”
“พี่ขอโทษนะครับ พี่อาจจะรวบรัดน้องรินไปหน่อย ถ้างั้นพี่จะให้เวลาน้องรินเก็บเอาไปคิดก่อนก็ได้ พี่ไม่รีบ” เขารีบขอโทษขอโพย
คุณหมอสุดสวยจึงสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นไรค่ะ รินแค่ทำตัวไม่ถูก เพราะอยู่ๆ พี่ป้องก็จะมาขอคบกับริน”
ปาณัทยิ้มแก้เก้อ อุตส่าห์มาขอคบกับคุณหมอรินรดา แต่คุณเธอคิดว่ามันเร็วเกินไป ยังทำตัวไม่ถูก...เขาเองนั่งคิดทบทวนมาหลายวัน เวลาเขาได้คุยกับเธอทีไรเขาก็สบายใจทุกครั้ง แต่พอนานๆ ไปความรู้สึกสนิทสนมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ จนถึงตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกชอบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้เขาชอบเธอเข้าแล้วจึงมาขอคบกับเธอ แต่เธอยังไม่พร้อม เพราะเธอกำลังตกใจกระมัง
“ที่พี่มาขอคบกับน้องรินก็เพราะว่าพี่รู้สึกชอบน้องริน พี่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน พี่ก็ไม่รู้ตัวเลย มารู้ตัวอีกทีคือพี่ชอบน้องรินไปเรียบร้อยแล้ว” เขาสารภาพ
“มันจะเร็วไปไหมคะ” เธอว่า
อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
“คนจะรักกันชอบกันมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันและเวลาหรอกครับ มันอยู่ที่ความรู้สึกของคนสองคนต่างหาก บางคนเจอกันแค่วันเดียวก็ยังชอบกันได้เลย เขาถึงพูดกันว่ารักครั้งแรกไง”
“แต่รินขอเวลาหน่อยนะคะ เพราะรินยังปรับความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกค่ะ”
“ได้สิ นานแค่ไหนพี่ก็จะรอ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วเงยหน้าขึ้นบอกกับคุณหมอรินรดาว่า “นี่เที่ยงแล้ว ออกไปทานข้าวกับพี่ได้ไหม”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบคำถามเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ต่อมาก็เป็นเสียงพูด
“ขออนุญาตเข้าไปในห้องนะคะคุณหมอริน”
“เข้ามาได้ค่ะ” เจ้าของห้องตอบ
แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พร้อมกับบอกคุณหมอผู้เป็นเจ้าของห้องว่า
“คุณหมอรินคะ มีเคสผ่าตัดด่วนค่ะ ถ้าคนไข้ไม่ได้รับการผ่าตัดตอนนี้เขาอาจจะไม่รอดค่ะ”
“ได้ค่ะ ถ้างั้นไปกันเลยค่ะ” รินรดารีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะบอกกับปาณัทว่า “รินต้องขอโทษพี่ป้องด้วยนะคะ วันนี้รินคงไปทานข้าวด้วยไม่ได้ เพราะมีเคสผ่าตัดด่วน”
“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ น้องรินรีบไปผ่าตัดคนไข้เถอะครับ ส่วนพี่ก็จะกลับไปทำงานเหมือนกัน” ชายหนุ่มบอก
“ค่ะ ถ้างั้นรินขอตัวก่อนนะคะ” แล้วเธอเดินออกไปอย่างรีบร้อนพร้อมกับพยาบาลที่มาตาม
ปาณัทลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องพักของคุณหมอสาวเช่นกัน สีหน้าเขาแอบผิดหวังเล็กน้อยที่วันนี้ไม่ได้ไปทานอาหารเที่ยงกับเธอ แต่เขาก็เข้าใจว่าเธอมีเคสผ่าตัดด่วน ส่วนเขาเองก็ต้องกลับไปที่บริษัทเช่นกัน
“ฉันรอเวลาที่จะให้คนฆ่าไอ้ป้องมาเกือบเดือน แต่ก็ไม่มีเวลาที่เหมาะสมสักที” ประภาบ่นอย่างโมโหขณะนั่งอยู่ที่ศาลาตรงสวนหย่อมหลังคฤหาสน์หลังใหญ่
ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอจะให้คนจัดการปาณัทอีกครั้ง แต่ก็มีเหตุหลายอย่างที่ทำให้จัดการปาณัทไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะปาณัทเป็นคนมีบุญมากจึงไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ทำให้ผู้เป็นอาอย่างเธอรู้สึกหงุดหงิดที่กำจัดหลานชายไม่ได้สักที แต่เธอก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกำจัดอีกฝ่าย
“ใจเย็นๆ สิคุณภา มันต้องมีเวลาที่เหมาะสมบ้างสิ วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะ” เขมนันท์บอก
“อ้อ ฉันคิดออกแล้ว หรือเราจะหลอกล่อมันไปให้คนร้ายยิงดีคะ” เธอว่า
ผู้เป็นสามีสั่นศีรษะ
“ไม่ดีหรอก ไอ้ป้องมันฉลาดจะตาย แล้วอีกอย่าง พวกเราเองก็ทำไม่ดีกับมันไว้เยอะ มันคงจะเชื่อพวกเราอยู่หรอกนะคุณภา”
“โธ่เอ๊ย แบบนั้นก็ไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ได้ แล้วพวกเราต้องทำยังไงกันล่ะ” เธอรู้สึกหงุดหงิด
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเครียดอยู่นั่นเองภูริชก็เดินเข้ามาหาพ่อกับแม่พร้อมกับพูดว่า
“ผมได้ยินคุณป้าบอกว่าหลังจากที่ไอ้ป้องกลับจากบริษัทมันจะแวะไปรับคุณยายที่สำนักงานสังคมสงเคราะห์ คุณแม่ก็ให้คุณร้ายไปดักรอยิงมันที่นั่นเลยสิครับ”
“ตาภู!” ประภาหันไปมองเห็นลูกชายก็ยิ้มออก “จริงเหรอลูก แม่ว่าโอกาสเหมาะสมมาถึงแล้วละ ขอบใจมากนะลูกที่มาบอกพ่อกับแม่”
เมื่อผู้เป็นลูกชายเดินมาถึงศาลาก็พูดว่า
“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมก็อยากจัดการมันจนใจจะขาดอยู่แล้วครับ...ผมอิจฉามันที่คุณยายรักมันคนเดียว หรือคงเป็นเพราะมันทำงานเก่งท่านก็เลยรักมัน”
“ลูกก็ไปประจบเอาใจคุณยายให้มากๆ สิลูก เดี๋ยวคุณยายก็รักลูกเองแหละ” เขมนันท์บอกลูกชาย
แต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ
“ไม่เอาหรอกครับคุณพ่อ คนแก่เอาใจยากจะตาย ผมขี้เกียจไปประจบประแจง”
“ไม่เอานะลูก ลูกคิดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าลูกอยากได้ทรัพย์สมบัติลูกก็ต้องขยันประจบเอาใจท่านนะ” ผู้เป็นแม่ว่า
“แต่ผม...”
“เชื่อแม่นะตาภู”
“ก็ได้ครับคุณแม่” เขาจำต้องยอม “แต่ตอนนี้ผมภาวนาให้ไอ้ภูมันถูกยิงตาย สาธุ!”
“แม่ก็ภาวนาให้มันถูกยิงตายเหมือนกัน”
“พ่อเองก็ภาวนา”
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกต่างก็ภาวนาให้ปาณัทถูกยิงตาย เพราะเรื่องทรัพย์สมบัติแท้ๆ ที่คนเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้ และความโลภเข้าครอบงำจนมองผิดเป็นถูก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลยสักนิด แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะถ้าคนได้โลภแล้วอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น และประภาก็โทรหาผู้ร้ายที่เธอจ้างเพื่อจะบอกว่าวันนี้โอกาสเหมาะสมที่จะจัดการปาณัทมาถึงแล้ว และบอกว่าปาณัทไปที่ไหน บอกให้ไปจัดการได้เลย
เมื่อกลับจากบริษัทปาณัทก็แวะไปรับผู้เป็นย่าที่สำนักงานสังคมสงเคราะห์ ซึ่งอยู่ห่างจากบริษัทไม่มากนัก เขากับพ่อของเขาขับรถคนละคัน เพราะฉะนั้นเมื่อเขาไปรับผู้เป็นย่า พ่อของเขาจึงขับรถกลับบ้านไปก่อน
เมื่อมาถึงสำนักงานสังคมสงเคราะห์ชายหนุ่มก็จอดรถตรงด้านหน้าตึกใหญ่ ก่อนจะลงจากรถและปิดประตูล็อกรถ เขาหารู้ไม่ว่ามีคนเล็งกระบอกปืนมาที่ตัวเขาเพื่อหมายจะลั่นไกยิง คนร้ายหลบอยู่ในที่ลับที่ไม่มีใครหาเจอและที่ไม่มีกล้องวงจรปิด อยู่ไกลจากปาณัทไม่มาก แล้วมันก็ลั่นไกยิงเมื่อได้จังหวะ
ปาณัทกำลังจะเดินเข้าไปข้างในตึกใหญ่ แต่อยู่ๆ กลับมีใครไม่รู้ยิงถูกตัวเขาจนล้มลงเลือดออกเยอะมาก คนที่ได้ยินก็รีบพากันออกมาดู รวมถึงคุณนภาลัย เมื่อท่านเห็นว่าคนที่ถูกยิงคือหลานชายก็ถึงกับตกใจ รีบวิ่งเข้าไปกอดและร้องไห้ไปด้วยเขย่าไปด้วย
“ตาป้อง...หลานย่าต้องไม่เป็นอะไรนะ ใครกันที่มันบังอาจยิงหลานย่า อย่าหลับนะตาป้อง อดทนไว้”
“ผม...คง...ไม่...รอด...” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ดวงตาคล้ายจะหลับ
“อย่าพูดแบบนี้” ท่านบอกหลานชาย ก่อนจะหันไปถามกลุ่มคนที่ยืนดูอยู่ “มีใครโทรเรียกรถพยาบาลหรือยัง”
“โทรเรียกแล้วค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งบอก
ทันใดนั้นเองรถพยาบาลก็แล่นเข้ามาอย่างเร็ว พร้อมกับรถตำรวจ
คุณหมอรีบเปิดท้ายรถและนำเตียงฉุกเฉินลงจากรถเพื่อที่จะไปรับผู้บาดเจ็บ
“ญาติผู้บาดเจ็บช่วยออกห่างก่อนครับ เราต้องรีบพาผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะตอนนี้เขาเสียเลือดมากครับ” คุณหมอบอก
คุณนภาลัยจึงลุกออกไป ยืนมองผู้เป็นหลานชายกำลังถูกคุณหมอสองคนยกขึ้นเตียงฉุกเฉิน แล้วอยู่ๆ ตาของปาณัทก็หลับไป ผู้เป็นย่าถึงกับตกใจและเดินร้องไห้เข้าไปหา
“ตาป้อง...ตาป้อง...หลานอย่าเป็นอะไรไปนะ”
“หมอขอตัวพาผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาลก่อนนะครับ” พูดจบก็เข็นเตียงที่ปาณัทนอนสลบอยู่ไปขึ้นรถ
คุณนภาลัยรีบบอกคุณหมอ
“ดิฉันขอไปกับหลานด้วยค่ะ” ก่อนจะหันไปบอกกับตำรวจว่า “คุณตำรวจคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้ปากคำทีหลังนะคะ แต่ตอนนี้ดิฉันต้องรีบไปโรงพยาบาลกับหลานก่อนค่ะ”
“ครับ เดี๋ยวผมจะสอบปากคำคนอื่นๆ ก่อน แล้วคุณนภาลัยค่อยให้ปากคำผมทีหลังครับ” ตำรวจบอก
“ค่ะ ดิฉันขอตัวนะคะ” แล้วท่านก็รีบเดินไปขึ้นรถพยาบาล ไม่นานรถก็แล่นออกไป
ตำรวจมากันสามนาย แบ่งหน้าที่กันทำ หนึ่งนายไปดูตรงจุดที่ปาณัทโดนยิง อีกนายเดินเข้าไปในตึกใหญ่เพื่อขอดูกล้องวงจรปิด ส่วนตำรวจนายที่สามเดินไปสอบปากคำคนที่มุงดู
“มีใครเห็นเหตุการณ์บ้างครับ”
“ไม่มีใครเห็นค่ะ ว่าใครเป็นคนยิง พอได้ยินเสียงปืนก็พากันรีบออกมาดู ก็พบว่าหลานชายของคุณนภาลัยถูกยิงค่ะ” คุณนายท่านหนึ่งบอก
แล้วคนอื่นๆ ก็ให้ปากคำเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครเห็นว่าใครเป็นคนยิงปาณัท ตำรวจจึงขอตัวไปดูกล้องวงจรปิดกับเพื่อนข้างในตึกใหญ่ทันที
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 264
แสดงความคิดเห็น