บทที่ 14...3/4
สองหนุ่มช่วยกันยกของเข้ามาในครัวที่สองสาวกำลังช่วยกันเก็บล้าง พอช่วยกันก็ใช้เวลาไม่นานจานชามและเตาปิ้งย่างก็ล้างเสร็จ เหลือแค่เช็ดให้แห้งเท่านั้น ภาคินเข้ามาช่วยอีกแรง ในขณะที่เขมินท์ขอให้เมษาออกไปคุยด้วยกันที่ตรงหน้าบ้าน มีนาเช็ดจานชามเสร็จแล้ว แต่ภาคินที่เช็ดแค่ช้อนกับส้อมกลับยังไม่เสร็จเพราะมัวแต่มองไปหน้าบ้าน
“พี่เขมออกไปคุยอะไรกับพี่เมเหรอ มีนรู้ไหม สีหน้าเหมือนคุยธุรกิจร้อยล้าน” ภาคินมั่นใจว่าใครคนนั้นของพี่ชายไม่ใช่พี่เมษา แต่มีเรื่องอะไรกัน
มีนามองแล้วแย่งช้อนส้อมมาเช็ดเอง ขืนรอภาคินคงเช็ดไม่เสร็จในคืนนี้กระมัง
“ไม่รู้สิ คงเป็นเรื่องที่ร้านละมั้ง อาทิตย์หน้าก็เปิดร้านได้ตามที่ไปดูวันกับพระแล้ว พี่เขมคงถามไถ่ว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่านั่นแหละ”
ภาคินพยักหน้าเห็นด้วย พอมองหาช้อนส้อมก็ไม่เหลือเป็นอันว่าเสร็จงานแล้ว เขาเดินตามมีนาไปนั่งเล่นที่หน้าโทรทัศน์ พอมองไปหน้าบ้านยังเห็นเขมินท์คุยกับเมษาอยู่
“คินจะถามมีนตั้งแต่วันก่อนแล้ว ใครซื้อห้องของมีนไป เป็นเพื่อนของเราสองคนหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอก เป็นผู้หญิงวัยกลางคนแล้วน่ะ ชื่อ ปนัดดา” มีนาบอกพลางส่งคุกกี้ที่เมษาทำให้ภาคิน ซึ่งเขารับไปกินได้ต่อแม้จะเพิ่งบ่นว่าอิ่มมากจนท้องแทบระเบิด
“ชื่อปนัดดานี่มีเยอะนะ เลขาของพี่เขมก็ชื่อปนัดดาเหมือนกัน แต่คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอก คนมีครอบครัวแล้วจะซื้อคอนโดชานเมืองทั้งที่อยู่ในเมืองไปทำไม”
มีนาพยักหน้าเออออ “ว่าแต่คินเถอะ ตอนนี้โอเคแล้วใช่ไหม”
“อืม เหลือเรื่องที่เบญทำกับไอ้โม่งที่ไหนก็ไม่รู้ที่มาป่วนมีน ไม่รู้ตำรวจสืบไปถึงไหนแล้ว” พอพูดถึงเรื่องนี้ภาคินก็ชักร้อนใจ บางทีเขาควรจ้างนักสืบเอกชนมาช่วยสืบอีกทาง
“มีนก็อยากรู้ตัวคนทำเหมือนกัน”
เสียงโทรศัพท์ของภาคินดัง มีนาเลยลดเสียงจากโทรทัศน์ลง จู่ๆ ภาคินก็ลุกพรวดแล้ววิ่งไปหน้าบ้าน ในขณะที่เขมินท์ก็วิ่งมาหาภาคินเช่นกัน มีนาวิ่งตามมารู้ด้วยตัวเองว่าต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง
“พี่เขม...”
“พี่รู้แล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้นคะ” มีนาถาม เมษาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ปู่ปวดท้อง รถพยาบาลกำลังมา” ภาคินตอบพลางวิ่งตามพี่ชายไปที่รถ
มีนาพยักหน้าเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมสองพี่น้องรีบร้อนกัน หญิงสาววิ่งไปเปิดประตูรถของเขมินท์ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดพลางตะโกนบอกเมษาที่วิ่งมาส่งว่าเดี๋ยวเธอโทรหา ตอนนี้ไม่ว่าเจตน์ป่วยมากหรือน้อย สำหรับพวกเราทุกคนย่อมเป็นเรื่องที่น่ากังวลทั้งหมด เนื่องจากชายชรามีอายุมากแล้ว อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวด้วย คราวนี้เธอขอให้ปู่อย่าเป็นอะไรมากเลย
พยาบาลพิเศษเป็นคนตัดสินใจโทรเรียกรถพยาบาลเพราะมีความเป็นไปได้ว่าเจตน์อาจจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งควรพบหมอเพื่อวินิจฉัยให้แน่ใจแล้วทำการรักษา พอเขมินท์กับภาคินขับรถเข้ามาในบ้าน รถพยาบาลก็มาถึงไล่เลี่ยกัน
มีนายืนมองอยู่ห่างๆ จากด้านนอก ตอนนี้เจตน์ถูกพาตัวมาอยู่บนรถเข็นเพื่อจะนำขึ้นรถพยาบาลโดยมีภาคินเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เขมินท์พูดคุยกับพยาบาลที่สังเกตอาการของชายชรามาตั้งแต่ตอนเย็น ทำให้ไม่วางใจจนกระทั่งคิดว่าไปหาหมอเพื่อวินิจฉัยจะดีกว่า เจตน์ถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนรถ โดยมีรุจาตามไปในรถพร้อมกับพยาบาลพิเศษ
ภวิกาเข้ามานั่งในรถของภาคิน ส่วนมีนาเดินทางมาพร้อมกับเขมินท์ พอเห็นอาการว่าเจตน์ยังพูดคุยได้ทุกคนก็ค่อยเบาใจไปมาก ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงทุกคนก็มาถึงโรงพยาบาล หลังจากนั้นจึงมารอกันอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน หมอประจำตัวของเจตน์มาคุยกับเขมินท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าห้องฉุกเฉินไป
“หมอกำลังตรวจร่างกายปู่อยู่ มีการตรวจเลือดกับปัสสาวะและอาจต้อง CT Appendix เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำว่าปู่เป็นไส้ติ่งอักเสบหรือเปล่า” เขมินท์ถ่ายทอดคำพูดของหมอให้ทุกคนได้ฟัง
หมอบอกเขมินท์ไว้ว่าหากปู่เป็นไส้ติ่งอักเสบจะต้องรีบรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จนไส้ติ่งแตก หนองและเชื้อโรคที่อยู่ในไส้ติ่งจะไหลเข้าสู่ช่องท้อง ซึ่งอาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดที่อาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้
“ปู่อายุมากแล้ว ถ้าผ่าตัดไส้ติ่งจะเสี่ยงมากไหมน่ะพี่เขม” ภาคินถามเสียงเครียด
“การรักษาที่ทันสมัยคงไม่เสี่ยงเท่าไหร่หรอก ปู่จะต้องปลอดภัย”
มีนาพยักหน้ามันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ภาคินถอนใจยาวพลางนั่งลงข้างๆ เพื่อน มีนาบีบไหล่เพื่อนเบาๆ ให้กำลังใจกัน ภวิกากับรุจานั่งเงียบรอฟังข่าวเหมือนคนอื่นๆ เขมินท์เดินไปเดินมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลงบ้าง มีนาหันไปสบตาเขา มันอาจเป็นวินาทีสั้นๆ แต่เธอเข้าใจความรู้สึกของเขาว่าเป็นห่วงปู่มากขนาดไหน การรอคอยทอดยาวออกไปหลายสิบนาที มีเสียงถอนใจสลับกับการเดินไปเดินมาของสองพี่น้อง
“หมอออกมาแล้วเขม” รุจาบอก
เขมินท์กับภาคินเข้าไปคุยกับหมอแทนทุกคน ครู่เดียวสีหน้าของภาคินก็เคร่งเครียด เขมินท์ยังมีสีหน้าเรียบๆ มีเพียงดวงตาของเขาที่แสดงออกว่ากังวลใจมากเหลือเกิน หลังจากคุยกับหมออยู่พักหนึ่ง เขมินท์ก็เป็นคนถ่ายทอดคำพูดของหมอให้ทุกคนได้รู้อีกเช่นเคย
“หมอวินิจฉัยว่าปู่เป็นไส้ติ่งอักเสบและบวม คืนนี้ปู่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลและอดอาหารนะครับ พรุ่งนี้ 9 โมงเช้า หมอจะผ่าตัดไส้ติ่งที่อักเสบออกไป”
เป็นข่าวร้ายที่ทุกคนคาดการณ์ไว้อยู่แล้วทำให้รับมือได้ เหลือเพียงความกังวลเพราะเจตน์ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก อีกทั้งยังมีโรงประจำตัวอีก การผ่าตัดไส้ติ่งจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนหนักใจ เพียงแต่ไม่พูดออกมาให้เครียดกันเกินไป พยาบาลย้ายเจตน์ไปยังห้องพิเศษสำหรับรอผ่าตัด ทั้งหมดจึงตามไปหาเจตน์ที่นั่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพื่อที่จะทำให้ชายชราไม่กังวล
มีนาเข้ามาภายในห้องแล้วยืนอยู่ห่างๆ เพื่อให้คนในครอบครัวได้พูดคุยกับเจตน์ เสียงหัวเราะของชายชราราวกับช่วยคลายความกังวลของทุกคน โดยพื้นฐานแล้วเจตน์เป็นคนเข้มแข็งและกล้าได้กล้าเสีย ทำให้การที่ต้องผ่าตัดในคราวนี้เขาบอกว่าไม่กลัวเลย พูดติดตลกด้วยซ้ำว่าไม่เกินเที่ยงของพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว
“ขอบใจมากนะทุกคนที่มากัน ดูสิหนูมีนก็มาด้วย คงตกใจกันหมดเลยสินะ” เจตน์มองไปที่มีนาที่เดินเข้ามาใกล้ๆ เตียงเมื่อชายชรายิ้มให้
“ขอให้ปู่ผ่าตัดปลอดภัย พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็กลับบ้านได้แล้วนะคะ” มีนายิ้มตามเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเจตน์เป็นผู้นำของครอบครัวมาตลอด
“เห็นไหม ปู่แข็งแรงออก” เจตน์หัวเราะชอบใจ “ดึกแล้วกลับบ้านกันไปเถอะ ปู่ง่วงอยากจะนอนแล้วเหมือนกัน
ไม่มีใครเดินไปที่ประตูกันสักคน จนรุจาเอ่ยปากแทนน้องชาย “กลับกันได้แล้วล่ะ ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พี่จะมาแต่เช้านะ”
ภาคินจับมือปู่มาลูบแก้มตัวเอง ก่อนจะยอมเดินไปเปิดประตูรอคนอื่นๆ มีนายกมือไหว้เจตน์กำลังจะตามภวิกาไป
“เขมอยู่คุยกับปู่ก่อนนะ” เจตน์เอ่ยขึ้น เขมินท์ยังยืนอยู่ข้างเตียงไม่ได้ไปไหน
“ถ้างั้นมีนรอกลับพร้อมพี่เขมแล้วกันนะ พี่เขมจะได้มีเพื่อนตอนขับรถกลับ คินจะไปส่งป้ารุจากับแม่ก่อน” ภาคินบอกเพื่อนไม่อยากให้พี่ชายขับรถกลับบ้านคนเดียว
“อือ ได้”
พอภาคินพาแม่กับป้าไปแล้ว ภายในห้องจึงเหลือแค่เขมินท์กับมีนาที่อยู่กับเจตน์ มีนาคิดเองว่าการที่ปู่เรียกหลานชายไว้คงมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย
“มีนไปหากาแฟดื่มนะคะ พี่เขมเอาด้วยไหม มีนจะได้ซื้อมาเผื่อ”
“ดีเหมือนกัน ขอบใจนะ” เขมินท์ตอบพลางช่วยเปิดประตูให้มีนา
มีนาพยักหน้าให้เขมินท์ที่มองมาราวกับจะบอกว่าอย่าไปไหนไกล เธอคงเข้าใจว่าปู่มีเรื่องที่อยากคุยกับเขาตามลำพังจึงขอตัวออกไปจากห้อง มีนาจึงชี้ไปว่าเดี๋ยวรอตรงระเบียงด้านอกห่างจากห้องไปนิดเดียวเท่านั้น เขมินท์พยักหน้าพร้อมกับยื่นมือไปตบไหล่บางเบาๆ ก่อนจะปิดประตูห้อง แล้วเดินมานั่งข้างเตียง สีหน้าแจ่มใสยิ้มแย้มของเจตน์หายไปกลายเป็นชายชราที่มองหลานด้วยความเป็นห่วง
“ปู่มีเรื่องอะไรที่กังวลใจหรือเปล่าครับ”
“ถึงแม้การผ่าตัดในวันพรุ่งนี้จะดูปลอดภัยไม่น่ามีอะไรที่ต้องกังวล แต่ปู่อยากให้แน่ใจ ไม่ใช่เกิดเรื่องไม่คาดคิด จนกลายเป็นว่าปู่ไม่ได้บอกอะไรเขมเลย” เจตน์เสียลูกชายและลูกสะใภ้ไปอย่างกะทันหัน ฉะนั้นเขาจะใช้ทุกโอกาสที่ยังมีให้คุ้มค่า
โบว์จะลงบทที่ 14 เป็นบทสุดท้าย แล้วจบการลงนิยายเพียงเท่านี้ค่ะ
หากต้องการอ่านต่อได้ที่ MEB ตอนนี้ เพราะคุณคือรักแรก วางจำหน่ายใน MEB แล้วนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 276
แสดงความคิดเห็น