ปาฏิหาริย์ซาตาน 5 :พบหน้า (Rewrite)
ท่ามกลางทะเลทรายสีทองอร่ามกว้างสุดลูกหูลูกตา แสงแดดร้อนจ้าสว่างไปทั่ว ทำให้ทะเลทรายดูเหมือนสิ่งมหัศจรรย์อันงดงาม อูฐตัวหนึ่งบรรทุกคนสองคนกำลังเดินร่อนเร่มุ่งตรงไปทางทิศเหนือด้วยความเร็ว
“ร้อนจริง” ดิโมล่าเปรยขึ้น น้ำเสียงของเธออิตโรยอย่างเห็นได้ชัด
“อืม ก็ร้อนเหมือนกัน อดทนหน่อยนะ ฉันจะขอไปต่ออีกสักระยะ แล้วจะหาที่พักละ” ฟาร์เน่ตอบขณะยังบังคับอูฐวิ่งตรงไปข้างหน้า
การเดินทางผ่านทะเลทรายช่างเป็นการเดินทางที่โหดร้ายไม่น้อยสำหรับพวกเธอ เพราะเป็นการเดินทางท่ามกลางแดดร้อนจัด เสบียงมีจำกัด และยังต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเสียด้วย
“นี่ว่าไหม ที่นี่ดูเหมือนจริงโคตรอะ ทั้งที่เป็นโลกในหนังสือแท้ๆ แถมแค่เริ่มต้นยังทรหดขนาดนี้ ชักตะหงิดๆแล้วสิ ว่าเกมที่จะต้องมาเล่นให้ผ่านคงไม่ธรรมดาแน่ๆ” ฟาร์เน่ชวนคุยฆ่าเวลา
“อืม” ดิโมล่าตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดมากให้ยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก ถึงไม่ต้องเดินเท้า แต่อยู่กลางอากาศและแสงอาทิตย์ร้อนขนาดนี้ก็ทำเอาเพลียมากเหมือนกัน
“อดทนไว้นะดิม สาวสวยมหัศจรรย์อย่างพวกเราต้องไม่ยอมแพ้ อีกไม่นานฉันเชื่อว่าฟ้าต้องเมตตาเราแน่นอน เพราะเราสวยมาก ฟ้าคงเฉยได้ไม่นานหรอก”ฟาร์เน่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่มิวายใส่มุกหลงตัวเองปิดท้าย
ดิโมล่าไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจหวังแค่ว่าขอให้จริงอย่างที่เพื่อนเธอพูดเท่านั้น
การเดินทางยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก อูฐวิ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จุดหมาย
“นั่นมันอะไรน่ะ..โอเอซิสใช่ไหม?” ดิโมล่าเอ่ยขึ้นหลังจากการสนทนาเงียบลงไปพักหนึ่ง
“ไหน!?” ฟาร์เน่รีบถามด้วยความตื่นเต้นทันทีที่ได้ยิน
“ตรงนู้น..หรือฉันจะตาฝาด” ดิโมล่ายกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหนึ่ง
ฟาร์เน่มองตาม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความดีใจ
“ไม่น่าจะตาฝาดนะ ยังไงลองไปดูกันก่อนดีกว่า ถ้าใช่ก็สวรรค์ล่ะ!” พูดจบ ฟาร์เน่ก็บังคับสายบังเหียนให้อูฐวิ่งไปยังภาพโอเอซิสที่เห็นทันที
ฝุ่นตลบอบอวนคละคลุ้งเมื่อฝีเท้าอูฐเร่งวิ่งเต็มที่เพื่อไปให้ถึงยังสถานที่ข้างหน้า จอมทะเลทรายสี่ขาวิ่งเข้าไปใกล้โอเอซิสแห่งนั้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นใกล้ๆก็ทำให้คนทั้งสองรู้สึกใจชื้นขึ้นมามากทีเดียว
“รีบลงจากหลังอูฐกันเถอะ!” ฟาร์เน่บอกอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะรีบลงมาจากหลังอูฐพร้อมกับดิโมล่า
“เดินผ่านทะเลทรายมาหลายวัน มันทำให้รู้สึกเหมือนที่นี่เป็นสวรรค์จริงๆ” ดิโมล่าหันมองสภาพรอบๆที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณสีเขียวสบายตาอย่างเบิกบานใจ
“พวกเราพากันเดินหาทะเลสาบหรือแหล่งน้ำกันดีกว่า จะได้พักกินน้ำ อาบน้ำกันที่นั่นให้สบายใจ เฮ่อ เดินทางมาเหนื่อยแทบตาย”
“อื้อ” ดิโมล่าเห็นด้วย
แล้วสองสาวก็แยกย้ายกันเดินตามหาแหล่งน้ำอย่างที่คุยกันไว้...ก่อนที่สุด หนึ่งในสองคนจะไปพบทะเลสาบแห่งหนึ่งเข้ากลางไพร
“น้ำ!..เจอน้ำแล้วยัยฟาร์..!!” ดิโมล่าร้องขึ้นอย่างดีใจ ทำให้ฟาร์เน่ที่กำลังเดินอยู่อีกทางได้ยินเสียง รีบวิ่งมาดู
“น้ำจริงๆด้วยอะ! เย้ๆๆ ได้กินน้ำ อาบน้ำแล้ววว!!” ฟาร์เน่ถึงกับกระโดดโลดเต้นดีใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่
“เลิศที่สุด!!” พูดจบ ดิโมล่าก็กระโดดลงน้ำทันทีด้วยความโหยหา
“เฮ้ยเดี๋ยว! ไม่ทันแล้วไง”
“อะไร?” ดิโมล่าหันมาถามด้วยท่าทางสดชื่นขึ้นมาก
“แน่ใจหรือว่าจะลงทั้งอย่างนั้น”
"ตอนนี้ฉันไม่สนอะไรแล้วล่ะ" ริมฝีปากตอบด้วยรอยยิ้มร่าเริง
“งั้นเล่นไปก่อนละกัน จะไปขนของลงจากอูฐ เดี๋ยวมาเล่นด้วย” สิ้นสุดการสนทนาของสองสาว ฟาร์เน่ก็เดินแยกไป ปล่อยให้ดิโมล่าเล่นน้ำอยู่ในทะเลสาบตามลำพังอย่างสนุกสนาน
“เสียงอะไร?" หลังจากโกนหนวดให้เจ้านายสุดหล่อเสร็จแล้วเผลอผล็อยหลับไป ตื่นขึ้นมา แวมไพร์ก็หนีออกมาเดินเล่นคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างเดินใกล้ทะเลสาบที่เคยมาชำระร่างกาย เสียงเจื้อยแจ้วหนึ่งก็ดังมากระทบหูเข้า เงี่ยหูฟังดีๆก็ได้ยินเหมือนเสียงผู้หญิงสองคนกำลังโต้ตอบกันไปมาด้วยความสนุกสนาน เพราะความอยากรู้ เธอจึงเดินเข้าไปดูที่ทะเลสาบ ซึ่งต้นเสียงดังมาจากที่นั่น
“เสียงคุ้นๆ ใครวะ?” เด็กสาวถามตนเองอย่างครุ่นคิด สองขาย่างเข้าใกล้ทะเลสาบเรื่อยๆ ก่อนจะไปหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง แอบดูสาวทั้งสองในสระน้ำ
เมื่อภาพที่มองปรากฏแก่สายตา แวมไพร์ถึงกับต้องขยี้ตาเพ่งดูใหม่อยู่หลายครั้งจนแจ้งใจ เธอดีใจสุดขีด ถึงขั้นระงับตัวไม่อยู่ หลุดปากร้องออกไปพร้อมเผยตัว
“ไอ้ฟาร์ ไอ้ดิม!”
สองสาวที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนานหันขวับมามองทันที
“ไอ้ไพร์/ยัยไพร์!” ฟาร์เน่และดิโมล่าเอ่ยขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นคนที่เรียกพวกตนคือใคร ก่อนฟาร์เน่จะดีใจจนลืมตัว ว่ายน้ำพยายามจะข้ามฝั่งมาหา
“ไอ้ฟาร์ระวัง มันลึก!” เสียงตะโกนเตือนดังมาจากปากแวมไพร์ แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะถึงจะลึกเท่าไหร่ สำหรับพวกเธอแล้วว่ายข้ามไปได้สบาย
“ขอโทษที่ขัดจังหวะ ข้ามาขอทาสคืน” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทั้งสามสาวจึงหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน
หล่อ นี่คือความคิดของสองสาว ดิโมล่าและฟาร์เน่
“ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว” ชายหนุ่มที่ดิโมล่าและฟาร์เน่ไม่รู้ว่าเป็นใคร กล่าวเร่งกับแวมไพร์
“เดี๋ยวนะ ใครเป็นทาสคุ..เจ้าหรือ?” ฟาร์เน่หันไปถามชายหนุ่มที่มาใหม่ด้วยความสงสัย ทว่าเขาไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย
“รีบตามมา” เขาบอกแวมไพร์เสียงเรียบ ก่อนจะเดินออกไปเฉยๆ
“นี่มันเรื่องอะไรยัยไพร์?” ดิโมล่ารีบถามหลังจากที่ชายหนุ่มนิรนามคนนั้นเดินออกไปแล้ว
“เดี๋ยวค่อยเล่าละกัน ตอนนี้ฉันอยากให้พวกแกช่วยไถ่ตัวฉันจากไอ้บ้าตะกี้ให้หน่อย ฉันอยากอยู่กับพวกแก ไม่อยากไปกับมัน” แวมไพร์โอดครวญ
สองสาวได้ยินคำขอร้องจากเพื่อนจึงหันไปมองหน้ากัน ก่อนตกลงกันว่าจะช่วยแวมไพร์
“แล้วค่าตัวแกเท่าไหร่?” ดิโมล่าถาม
“ตอนที่ไอ้บ้านั่นซื้อตัวฉันมา ก็เสียเหรียญทองคำไปห้าร้อยเหรียญ"
ได้ยินประโยคนี้ดิโมล่าก็หันกลับไปมองหน้าฟาร์เน่อีกครั้ง
“พวกเราไม่มีสักทองคำเลยอะ ทำไงดี” ฟาร์เน่บอกหน้าสลด
“เอางี้ พวกเราจะตามแกไปด้วย" ดิโมล่าบอกอย่างตัดสินใจได้
“ขอบใจเพื่อน งั้นฉันจะรอพวกแกเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยกลับไปหาไอ้บ้านั่น ถ้ามันจะทิ้งก็เชิญ”แวมไพร์บอก ก่อนทั้งสองสาวจะพากันขึ้นบกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
หลังจากแต่งตัวและเก็บข้าวของเสร็จ ทั้งสามสาวจึงพากันมาหาชายหนุ่มที่ขึ้นอูฐรออยู่หน้าโอเอซิส เจ้าของใบหน้าหล่อคมนั่งรออยู่บนหลังอูฐด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย กระทั่งพวกเธอทั้งสามเดินมา ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นจึงหันมามอง ก่อนกล่าวเร่งอีกครั้ง
“ไปได้แล้ว” เสียงเรียบนิ่งพูดขึ้นเมื่อเห็นทาสของตนเดินมาแล้ว
“เดี๋ยวค่ะ คือข้าสองคนจะขอตามท่านไปด้วยจะได้หรือไม่?” ฟาร์เน่ลองเอ่ยขอขึ้นก่อน
“ภาระข้ามีหนึ่งแล้ว ข้าไม่ต้องการเพิ่มอีก” น้ำเสียงตัดขาดเยื่อใยทำเอาฟาร์เน่ถึงกับอึ้ง ก่อนดิโมล่าจะช่วยเสริมอีกแรง
“พวกข้าไม่เป็นภาระท่านหรอก ที่พวกข้าสองคนจะขอตามท่านไปด้วยก็เพราะเพื่อนของพวกเราอยู่กับท่าน”
“นางเป็นทาสข้า ถ้าพวกเจ้ามีห้าร้อยเหรียญทองคำ ก็จะคืนนางให้” เขายื่นข้อเสนอ
“พวกเราไม่มีให้ท่านหรอกค่ะ ดังนั้นจึงมาขอตามท่านไปด้วย พวกเราเป็นห่วงเพื่อน รับรองว่าถ้าไปด้วย จะไม่ให้เป็นภาระท่านแน่นอนค่ะ" ฟาร์เน่บอกจากใจจริง หวังให้อีกฝ่ายเห็นใจบ้าง
ชายหนุ่มมองหน้าจริงจังของสองสาวมาใหม่อย่างพิจารณา แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“ตามใจ แต่พวกเจ้าจะต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง และข้าจะไม่ข้องเกี่ยวใดๆกับการดูแลพวกเจ้าทั้งคู่”
“ตกลง / ตกลงค่ะ” สองสาวรีบตอบรับพร้อมกัน
แวมไพร์ดูจะมีความสุขมากขึ้นเมื่อมีเพื่อนสาวร่วมทางด้วย เธอไม่ต้องลำบากเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว เวลาเด็กสาวถูกใช้งาน อีกสองสาวก็อาสาเข้ามาช่วยอีกแรง จึงแบ่งเบาหน้าที่ของเธอได้มากโข
“นี่เขาจะพาพวกเราเดินทางไปถึงไหนกันนะ?” ฟาร์เน่หันไปกระซิบกับดิโมล่าขณะทั้งคู่นั่งอยู่บนหลังอูฐ
“ไม่รู้สิ แต่ดูแล้วคงมีจุดหมายแหละ" ดิโมล่าให้ความเห็น
“เฮ่อ อยู่กันหลายๆคนแบบนี้ เรื่องที่กลัวโจรทะเลทรายคลายลงเยอะเลยอะ”
ป๊าบ ฝ่ามือเล็กของดิโมล่าฟาดลงบนหลังฟาร์เน่อย่างจังทันที
“นี่! อยู่ในทะเลทรายใครให้พูดถึงโจรกันเล่า” ดิโมล่าดุ
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิ ถึงจะพูดไม่พูด ถ้ามันจะเจอก็เจออยู่ดี” ฟาร์เน่เถียงกลับ
“คำโบราณว่าไว้ ไม่เชื่อก็ระวังไว้บ้าง” ดิโมล่าสั่งสอน
ทางฝ่ายอินแชนดี้และเอลลิก้าออกตระเวนไปเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักร แต่ก็ยังไม่พบคนที่ตามหา ดวงอาทิตย์คล้อยลงใกล้เย็นแล้ว ขณะกำลังจะพากันหาที่พักค้างแรม ระหว่างทางพวกเธอก็พบกับทหารหลายสิบนายยกขบวนม้าวิ่งผ่านมาพอดี แรกทีเดียวอินแชนดี้ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดว่าหากมีเหตุอะไรพวกทหารที่นี่ก็จัดการกันเองได้อยู่แล้ว ทว่าคนของเธอกลับให้ความสนใจ ทักหนึ่งในกำลังทหารเหล่านั้นขึ้น
"ขนกำลังไปที่ไหนกันรึท่าน?" ทหารหนุ่มผู้อารักขาถามออกไป
"พวกโจรทะเลทรายทางใต้บุกปล้นชานเมืองอีกแล้วน่ะท่าน" ทหารที่ถูกทักบอก
"โจรทะเลทรายทางใต้ปล้นชานเมืองงั้นรึ!" นางข้าหลวงสาวชักม้าเข้าถามด้วยความตกใจ
"ขอรับ ว่าแต่แม่นางเป็นข้าหลวงในองค์หญิง ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ" ทหารนายนั้นถามเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวในชุดคลุมบนหลังม้าอีกตัว โดยยังไม่ทราบว่านอกจากหนึ่งหญิงหนึ่งชายข้าราชบริภารในวังแล้ว ยังมีอีกสองสาวยืนม้าอยู่ไม่ห่างนัก
"เอ่อ ข้ามาทำงานให้องค์หญิงพร้อมกับโคซาโน่" ชื่อที่เธอกล่าวถึงเป็นชื่อของทหารหนุ่มสหายที่ติดตามออกจากวังมาด้วยกัน
"งั้นรึ.." ทหารนายนั้นรับรู้ ก่อนตาจะเหลือบไปเห็นร่างในชุดคลุมสองร่างที่ยืนม้าอยู่ด้านหลังสองชายหญิงข้าบาทจากวัง "เอ๊ะ! นั่นท่านเอลลิก้าหรือไม่?" นายทหารมีท่าทางดีใจที่พบเด็กสาวที่นี่
เอลลิก้าที่ปลดผ้าปิดหน้าออกชั่วคราวเพื่อหายใจให้สะดวกขึ้นสะดุ้งเล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกทัก แล้วทันใดม้าเร็วนายหนึ่งก็วิ่งสวนทางมาด้วยท่าทีรีบร้อน พอเห็นทหารนายหนึ่งตกค้างอยู่ที่นี่ก็เอ่ยทัก
"มิวทัส เจ้ามาอยู่ทำไมที่นี่ ยังไม่รีบไปช่วยพวกเราต้านโจรทะเลทรายทิศใต้อีกรึ!" นายทหารม้าเร็วเอ่ยเสียงดังคล้ายจะดุ
"ขออภัยเถิด ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แล้ว" ทหารชื่อ มิวทัส รีบบอก ก่อนจะหันมาทางพวกอินแชนดี้ "ข้าต้องไปทำหน้าที่ก่อน หากมีชีวิตรอดกลับมา คงจะได้เจรจากันอีก ไปก่อนพวกท่าน ลาขอรับท่านเอลลิก้า" ท้ายประโยคทหารนายนั้นหันไปพูดกับเอลลิก้า แล้วรีบชักม้าวิ่งไปทางชานเมือง
ส่วนทหารม้าเร็ว เมื่อได้ยินชื่อเพชฆาตมือหนึ่งของอาณาจักรก็ตาโต รีบหันมองตามสายตาของทหารก่อนหน้าไป เมื่อเห็นว่าคนที่ทหารนายนั้นเรียกเป็นคนเดียวกันกับที่ตนคิดไว้ก็รีบชักม้าเข้าหาทันที
"ท่านเอลลิก้า ข้ากำลังจะไปส่งข่าวแก่ลุงท่านพอดี โชคดีนักที่พบท่านที่นี่" ทหารม้าเร็วบอกอย่างยินดี เอลลิก้าที่ตั้งสติเตรียมรับมือได้แล้วก็เอ่ยตอบ
"มีอะไรหรือคะ?" ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้ภาษาโบราณนัก เด็กสาวจึงพูดออกไปเรื่อยเปื่อยตามที่คิดว่าคงพอใช้ได้
"พวกโจรทะเลทรายทิศใต้ขอรับ พวกมันยกกันมาปล้นชานเมืองอีกคราวแล้ว คราวนี้พวกมันแข็งแกร่งนัก เราเสียทหารไปจำนวนมาก จึงต้องไปขอลุงท่านส่งคนมาช่วย ท่านเอลลิก้าช่วยพวกเราด้วยเถิดขอรับ ยอดฝีมืออย่างท่านอาจถ่วงเวลาพวกมันให้ข้ารีบไปขอกำลังจากลุงท่านได้ทัน" ทหารม้าเร็วขอร้องหน้าคร่ำเครียด
เอลลิก้าไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร จึงจำตบปากรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่เป็นเพื่อนกัน อินแชนดี้ก็ตัดสินใจเข้าช่วยอีกแรง
"เอาเถอะ ข้าจะไปช่วยด้วย ท่านรีบไปแจ้งข่าวแก่ท่านลุงเอลลิก้าเถิด" อินแชนดี้ที่อยู่ในชุดคลุมปิดหน้าไว้บอก
"ขอบใจพวกท่าน ข้าฝากด้วย ข้าลาไปส่งข่าวก่อน" สั่งเสียแค่นั้น นายทหารม้าเร็วก็ขี่ม้าเร่งรุดไปทำหน้าที่ต่อทันที
“กรี๊ด! ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!” เข้ามาในเขตชุลมุนไม่ทันไร เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“โคซาโน่ ทางนั้นมีผู้หญิงถูกจับตัวอยู่!" นางข้าหลวงสาวร้องบอกเพื่อนหนุ่มน้ำเสียงตระหนก
ทหารชื่อ โคซาโน่ หันมองทางอินแชนดี้อย่างละล้าละลัง เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็เข้าใจ จึงว่า
"ข้าไม่ใช่คนไม่มีฝีมือ เจ้าไปช่วยนางเถิด อย่างไรระวังตัวให้ดี"
"พระเจ้าค่ะ" รับคำเสร็จ ทหารร่างสูงก็รีบบังคับม้าไปทางหญิงสาวที่กำลังถูกคุกคามทันที
"เฟอร์นิน เจ้าใช้อาวุธเป็นหรือไม่?" อินแชนดี้หันไปถามบริวารสาวอย่างมีน้ำใจนึกถึง
"เป็นเพคะ" นางข้าหลวงเฟอร์นินตอบ
"ดี อย่างนั้นตามพวกเรามาแล้วกัน อย่าประมาทแม้เซี่ยวนาทีล่ะ" อินแชนดี้เตือน ก่อนโจรทะเลทรายกลุ่มหนึ่งจะโผล่มา แล้วเข้าล้อมพวกเธอไว้ทุกด้าน
“คงต้องสู้อย่างเดียวแล้วสินะ" อินแชนดี้กล่าวให้ได้ยินกันสามคน ขาดคำ โจรสามคนด้านหลังก็พุ่งเงื้อมีดเข้ามาพร้อมฟันใส่ ดาบที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วยกขึ้นตั้งรับอย่างรวดเร็ว จากนั้นการปะทะกันอย่างเผ็ดร้อนก็เริ่มต้นขึ้น
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เพลงดาบฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างมีฝีมือไม่เป็นรองกัน ทว่าฝ่ายสามสาวยิ่งถูกการปะทะนานเข้า แขนและข้อมือก็เริ่มล้าขึ้นทุกที เคร้ง เคร้ง
“เอลระวัง!” อินแชนดี้หันไปร้องบอกเมื่อเห็นโจรทะเลทรายอีกคนลอบเข้าหาเพื่อนสาวทีเผลอ ขณะตกใจด้วยเห็นเพื่อนอยู่ในอันตราย จังหวะนั้นก็เปิดช่องให้คู่ต่อสู้ของตนจู่โจมใส่อย่างจังเช่นกัน
พลั่ก! แรงกระแทกที่หนักหน่วงซึ่งเข้ามาตอนไม่ทันระวังตัว ส่งผลให้อินแชนดี้ตกจากหลังม้าพร้อมๆกับทางฝ่ายเอลลิก้าที่ถูกฟันหลังหล่นลงมาไม่ต่างกัน เมื่อร่างบางสองร่างร่วงสู่พื้น ผ้าและหมวกที่บดบังใบหน้าของทั้งคู่อยู่ก็เปิดออกให้เห็นโฉมที่แท้จริง โจรทะเลทรายเห็นสองสาวพลาดท่าอย่างนั้นก็รีบบังคับม้าเข้ามาใกล้ พลางเงื้อดาบขึ้นเตรียมจะฟันใส่ไม่ยั้ง
“เดี๋ยว!” เสียงร้องห้ามดังมาจากร่างสูงที่นั่งเป็นสง่าดูการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอยู่นาน มือสังหารชะงักมีดฉับพลันก่อนจะหันสายตาไปมองผู้ออกคำสั่ง ทว่าสมุนซึ่งกำลังสู้กับเฟอร์นินอยู่ยั้งมือไม่ทัน ใช้โอกาสขณะเธอกำลังตกใจที่เห็นเจ้านายของตนพลาดท่า แทงมีดทะลุออกนางข้าหลวงสิ้นลมทันที
“เฟอร์นิน!” เสียงร้องครั้งสุดท้ายของข้าหลวงสาวทำให้อินแชนดี้หันมองด้วยความตกใจ ทันเห็นร่างเล็กของฝ่ายนั้นพลัดตกหลังม้าลงมานอนโชกเลือดบนพื้นพอดี
“นึกว่าใคร..พอแล้ว พวกเจ้าแค่จับตัวพวกนางไปก็พอ ส่วนคนที่เหลือก็แยกย้ายไปบอกพวกเราให้กลับค่ายกัน วันนี้พอเท่านี้"
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 493
แสดงความคิดเห็น